Converse ดึง 3 หนุ่มอย่าง โย เฟรม กาฟิว มาร่วมสนุกไปกับการกลับมาของ Converse Weapon พร้อมกับเปิดชีวิตอีกด้านของ 3 คนใน The Parallel

  “แฟชั่นผ่านมาแล้วก็ผ่านไป” ซึ่งมันสะท้อนความจริงของการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วในวงการแฟชั่น แต่ประโยคนี้ไม่สามารถใช้กับ Converse แบรนด์รองเท้าผ้าใบที่มีอายุกว่า 115 ปีได้

ตำนานเริ่มต้นขึ้นในปี 1908 ซึ่งเป็นปีที่คุณ Marquis Mills Converse ก่อตั้งโรงงาน Converse Rubber Company ที่เมือง Malden รัฐ Massachusetts เดิมทีตอนนั้นยังเป็นเพียงโรงงานที่ผลิตสิ่งของต่างๆที่ทำจากยาง รองเท้ารุ่นแรกที่โรงงานนี้ผลิตก็เพียงเพื่อให้พนักงานของ Converse สวมใส่ทำงานในสายการผลิตเท่านั้น

อย่างไรก็ตามเมือง Springfield ซึ่งเป็นเมืองต้นกำเนิดกีฬาบาสเก็ตบอลซึ่งในเวลานั้นยังถือเป็นกีฬาชนิดใหม่อยู่ห่างจากสำนักงานใหญ่ของ Converse เพียงแค่ไม่ถึง 100 ไมล์ ส่งผลให้บาสเก็ตบอลได้รับความนิยมอย่างล้นหลามบนชายฝั่งตะวันออก กีฬาบาสเก็ตบอลต่างจากเบสบอลหรืออเมริกันฟุตบอลที่ทั้งสองอย่างนั้นต้องการพื้นที่กลางแจ้งขนาดใหญ่ในการเล่น

ส่วนบาสเก็ตบอลสามารถเล่นได้ในพื้นที่จำกัดกว่ามากทำให้มันกลายเป็นงานอดิเรกของเด็กในเมือง และในมหาวิทยาลัยแถวนั้น Converse จึงเริ่มต้นทำการตลาดด้วยการผลิตรองเท้าบาสเก็ตบอล

 

ถึงแม้ว่า All Star จะไม่ใช่รองเท้าบาสเก็ตบอลรุ่นแรกในโลกแต่ด้วยคุณลักษณะบางอย่างทำให้ได้เปรียบเหนือคู่แข่งในท้องตลาด ทั้งจากแผ่นแปะบริเวณส้นเท้าที่ถูกวางไว้ด้านในซึ่งถูกออกแบบมาเพื่อปกป้องกระดูกข้อเท้าของผู้เล่น และลวดลายดอกยางรูปเพชรที่ยังคงมีอยู่ในปัจจุบันคือรากฐานของการออกแบบอย่างแท้จริงเพราะมันเป็นรุปทรงที่ทำให้ผู้คนสามารถเคลื่อนตัวออกไปได้หลายทิศทางและทำการหยุดได้อย่างรวดเร็ว

 

“รองเท้าที่ไม่ได้มีดีแค่รูปลักษณ์ แต่ยังเปี่ยมไปด้วยคุณภาพ”

“พุ่งทะยานอย่างฉุดไม่อยู่ รันทุกวงการตั้งแต่กีฬาจนถึงซูเปอร์สตาร์”

หลังจาก Converse เดินหน้าเข้าสู่ตลาดรองเท้าแล้วก็ไม่มีอะไรฉุดพวกเขาไว้ได้อีก การตัดสินใจครั้งสำคัญหลายครั้งส่งผลให้ชื่อของ Converse พุ่งทะยานไปข้างหน้า ในปี 1933 พวกเขาได้เซ็นสัญญาซื้อสิทธิ์ในการผลิตรองเท้ารุ่น Jack Purcell ซึ่งตั้งชื่อตามนักแบดมินตันผู้ออกแบบรองเท้ารุ่นนี้จากบริษัท B.F. Goodrich ของประเทศแคนาดา รองเท้ารุ่นนี้ไม่เพียงขายดีจากรูปลักษณ์ และคุณภาพของมันแต่การที่ James Dean นักแสดงระดับซูเปอร์สตาร์ในเวลานั้นหยิบมันมาสวมใส่ทำให้ Jack Purcell กลายเป็นไอเท็มที่ผู้คนมีติดไว้เพื่อสวมใส่กับเสื้อผ้ารูปแบบต่างๆ จนถึงทุกวันนี้

 

จากบาสเก็ตบอล และแบดมินตัน Converse ขยับตัวเองเข้าสู่วงการสเก็ตบอร์ด โดยในปี 1971 พวกเขาได้ออกวางจำหน่ายรองเท้ารุ่นใหม่ที่ใช้วัสดุหนังกลับซึ่งในภายหลังถูกเรียกว่า One Star รองเท้ารุ่นนี้กลายมาเป็นทางเลือกสำหรับนักสเก็ตบอร์ดทั้งหลายจนเรียกได้ว่านี่คือใบเบิกทางของ Converse สู่วัฒนธรรมสเก็ตบอร์ด

 

เมื่อเข้าสู่ปี 1975 Converse เพิ่มความหนักแน่นในอัตลักษณ์ของตัวเองด้วยการเปิดตัว Chevron Logo ซึ่งต่อมาได้ถูกใช้กับรองเท้า และเสื้อผ้าต่างๆจนกลายเป็นหนึ่งในโลโก้ที่มีผู้คนรู้จักมากที่สุดทั่วโลก

 

นอกจากความโดดเด่นด้านการออกแบบแล้ว ในส่วนของแคมเปญการตลาดก็ถือเป็นจุดแข็งของแบรนด์ Converse พวกเขามีแคมเปญซึ่งป็นที่จดจำของผู้คนมากมาย หนึ่งในแคมเปญที่โดดเด่นที่สุดคงจะหนีไม่พ้น “Choose Your Weapon” ซึ่งถูกนำมาใช้กับรองเท้าบาสเก็ตบอลที่อัดแน่นไปด้วยเทคโนโลยีล่าสุดของแบรนด์ในปี 1986 อย่าง Converse Weapon ที่เป็นจุดศูนย์กลางการขับเคี่ยวแข่งขันระหว่าง Magic Johnson และ Larry Bird สองสุดยอดนักบาสเก็ตบอลในยุคนั้น

 

เมื่อโลกก้าวเข้าสู่สหัสวรรษใหม่ ก็ถือเป็นอีกหนึ่งก้าวกระโดดครั้งสำคัญของ Converse เมื่อพวกเขาเริ่มทำการร่วมงานกับแบรนด์แฟชั่นต่างๆ ทั้ง John Varvatos, Comme des Garçons จากนั้นก็ขยายออกไปยังวงการดนตรี และศิลปะจนทุกวันนี้เรียกได้ว่า Converse กลายเป็นส่วนหนึ่งในวัฒนธรรมต่างๆ รอบตัวของผู้คนทั่วโลกไปแล้ว

 

“ผมมองว่าตัวเองคือรองเท้ารุ่นธรรมดาเพราะผมคือคนธรรมดา”

โย – อภิชิต วิวัฒน์เวคิน

หลายคนรู้จักคุณเพียงมุมของการเป็นแฟนพันธุ์แท้ Converse ลองเล่าให้เราฟังสักเล็กน้อยถึงตัวตนของคุณนอกเหนือจากมุมนั้น เพื่อให้เราได้รู้จักกับคุณมากยิ่งขึ้นได้ไหม?

คนส่วนใหญ่จะรู้จักผมในฐานะสุดยอดแฟนพันธ์ุแท้ Converse ซึ่งเป็นตำแหน่งที่ได้รับจากการเป็นผู้ชนะการแข่งขันของรายการแฟนพันธุ์แท้แต่น้อยคนที่จะรู้จักกับแง่มุมอื่นๆของผม นั่นเพราะจริงๆแล้วผมเป็นคนธรรมดานี่ล่ะครับ ผมทำธุรกิจส่วนตัวคือร้านแฮมเบอร์เกอร์ที่มีคราฟต์เบียร์ขายด้วย มันอาจเริ่มต้นจากความชอบกินเบอร์เกอร์ของผมแต่พอได้ทำมันก็สนุกไปด้วยเพราะมันทำให้ผมได้พบกับแง่มุมใหม่ๆที่ไม่เคยเจอมาก่อน เช่น การได้เข้าไปอยู่ในสังคมคราฟต์เบียร์

 

ลองเล่าให้เราฟังถึงจุดเริ่มต้นที่ทําให้คุณเกิดความหลงใหลในรองเท้า Converse จนเริ่มสะสมมาจนถึงทุกวันนี้ได้ไหม? และคุณเพียงแค่สะสม Converse หรือคุณซื้อมา และสวมใส่รองเท้าเหล่านั้น?

จุดเริ่มต้นที่ผมสนใจรองเท้าผ้าใบมันเริ่มมาจากช่วงประถม ผมใส่มันมาตลอดตั้งแต่ตอนนั้น เวลาชอบคู่ไหนก็ซื้อใส่ไปเรื่อยๆ พอมันเยอะมากเข้าคนก็มองว่าซื้อมาสะสมแต่จริงๆแล้วผมซื้อมาใส่ อาจจะมีเพียงไม่กี่คู่ที่พอได้มาแล้วมันสวยจนผมอยากจะเก็บมันไว้แบบนั้นไม่ได้นำออกมาใส่ซึ่งถ้านับจริงๆก็แค่ 1-2 คู่เองครับ

 

รองเท้า Converse คู่แรกของผมต้องย้อนกลับไปสมัยมัธยมต้น รองเท้าคู่นั้นคือ Jack Purcell Made in USA สีน้ำเงินเข้ม ยุคนั้นที่ชั้นสองของโรงแรมอินทรา ประตูน้ำจะมีร้านที่นำเข้าของจากอเมริกามาขาย ผมเดินผ่านบ่อยแล้วสะดุดตากับรูปลักษณ์ของมัน รู้สึกว่ามันโดดเด่น หัวรองเท้าโตๆคล้ายหุ่นยนต์เลยเก็บเงินซื้อ สมัยนั้นราคาประมาณ 1,100 บาทเอง

 

สาเหตุที่ผมเริ่มซื้อรองเท้า Converse เป็นหลักมันเริ่มมาจากการแต่งตัว ที่เริ่มจริงจังเลยก็ช่วงอายุ 25 การแต่งตัวตอนนั้นมันเริ่มตกตะกอนไม่หมุนไปตามแฟชั่นแล้ว และ Converse มันเข้ากับตัวผมเองที่สุด

 

คุณมีรองเท้า Converse อยู่กี่คู่ และในบรรดารองเท้า Converse ทั้งหมด มีประมาณกี่เปอเซ็นต์

ที่คุณเคยหยิบมาใส่ในชีวิตประจําวัน?

 

ตอนนี้ผมมีรองเท้า Converse อยู่ประมาณ 1,500 คู่ มีทั้งคู่ที่พังไปแล้วไม่สามารถนำมาใส่ได้อีก พวกนี้ผมก็จะแยกไว้ แต่ทั้งหมดที่มีอยู่ 99% เคยผ่านเท้าผมมาหมดแล้ว

 

ในบรรดารองเท้า Converse ทุกคู่ที่คุณมี รุ่นไหนที่คุณมีเยอะที่สุด และเพราะอะไรจึงเป็นเช่นนั้น?

 

แน่นอนว่าต้องเป็นรุ่น Chuck Taylor เพราะเป็นรุ่นที่ Converse ผลิตออกมาเยอะที่สุด รองลงมาก็คงจะเป็น One Star แต่ถือว่าเทียบสัดส่วนกันไม่ได้เลยเพราะ Chuck Taylor นั้นเยอะกว่ามากๆ

 

หลายคนพูดว่าช่วงเวลาที่สนุกที่สุดของการสะสมรองเท้าคือตอนที่ตามล่าหามาครอบครอง ไม่ใช่ตอนที่ได้มาแล้ว

มีรองเท้า Converse คู่ไหนที่คุณสนุกกับการตามหามันบ้างหรือไม่?

มันจะมีอยู่คู่นึงที่ทาง Converse ทำร่วมกับวงดนตรีชื่อ The Clash ตัวรองเท้าเป็นหนังสีขาวมีคำว่า London Calling(ชื่ออัลบั้ม และชื่อเพลงของวง The Clash)อยู่ที่พื้นรองเท้า ผมประทับใจเนื่องจากมีรุ่นพี่หารองเท้าคู่นี้มาให้แบบเซอไพรส์ ช่วงนั้นมันเริ่มเกิดสังคมของคนชอบรองเท้าคอนเวิร์สแล้ว และผมก็กำลังตามหาคู่นี้อยู่ซึ่งมันหากยากมากแล้วก็มีรุ่นพี่คนนึงซื้อตัดหน้าผม

 

แต่เขากลับเอามันมาเซอไพรส์ เขาเอามันมายื่นให้แล้วบอกว่า “นี่ไงกูหามาให้มึง” มันประทับใจตรงที่มันคือมิตรภาพทั้งที่เราพึ่งรู้จักกันไม่นาน จนตอนนี้ผมก็ยังคบกับรุ่นพี่คนนี้อยู่ เรายังช่วยเหลือกันมาตลอด การที่มันมีคอมมูนิตี้นี้เกิดขึ้น ส่วนนึงก็ต้องยกเครดิตให้ร้าน Carnival เลย สมัยนั้นยังมีคำว่า Converse อยู่บนชื่อร้านด้วย เขาทำให้หลายๆ คนได้มาเจอกัน

 

อีกคู่นึงเป็นสายวินเทจ มันทำให้เจอเพื่อนที่ช่วยหาให้ น้องคนนั้นชื่อจั๊มพ์ ผมเคยบอกเขาไปว่าผมกำลังหารุ่น Pro Leather อยู่ จากนั้นเขาก็หายไปหลายเดือนเลย จนวันนึงก็กลับมาพร้อมกับส่งรูปรองเท้ารุ่นนี้มาให้ถึงสี่คู่ ทั้งที่ผมหาแค่คู่เดียว สุดท้ายผมก็ต้องเอามาทั้งหมดเลย สุดท้ายกลายเป็นเรื่องขำๆกันไป จนปัจจุบันนี้ทั้งสี่คู่ก็ยังอยู่กับผม

 

ในฐานะที่คุณเคยสัมผัสรองเท้า Converse มาแทบทุกรุ่น หากจะให้แนะนํารองเท้าสักรุ่นกับคนที่กำลังจะเลือกซื้อรองเท้า Converse คู่แรกของตัวเอง คุณจะแนะนํารองเท้ารุ่นไหน?

แน่นอนว่าถ้าให้แนะนำคู่แรกก็คงต้องยืนพื้นด้วย Chuck Taylor All Star อยู่แล้ว และอีกรุ่นที่อยากแนะนำคือ One Star รุ่นนี้จะได้ความรู้สึกของรองเท้าสเก็ตบอร์ดขึ้นมานิดนึง แต่ถ้าหากพูดถึงช่วงนี้ คุณไม่ควรพลาด Converse Weapon เลยเพราะนานๆจะถูกทำออกมาที รองเท้ารุ่นนี้ถือเป็นรองเท้าคลาสสิครุ่นนึงของ Converse

 

หากใครติดตาม NBA จะรู้ว่าช่วงยุค 80 รองเท้าคู่นี้อยู่คู่กับวงการบาสเก็ตบอลในช่วงนั้น ดาวเด่นของ NBA ต่างใส่รองเท้ารุ่นนี้ ไม่ว่าจะเป็น Magic Johnson หรือ Larry Bird ในตอนนี้ Converse ได้นำรุ่นนี้กลับมาผลิตอีกรอบ ที่สำคัญคือคู่สีขาว-ดำ และสีขาว-เทาที่ออกวางขายคือสีคลาสสิคของรองเท้ารุ่นนี้ ตัวนี้ผมขอแนะนำจริงๆ ถ้าใครมีโอกาสก็น่าเอามาใส่เพราะมันเข้ากับยุคนี้ที่คนเปิดใจกับการใส่รองเท้าหลากหลายทรง หลากหลายรูปแบบ

 

 นอกจากตัวคลาสสิคพวกนี้ผมยังอยากแนะนำรองเท้าตระกูล CONS มันเป็นรองเท้าสำหรับสายสเก็ตบอร์ดที่ไม่ว่าจะเอาไปใส่เดินหรือใส่เล่นสเก็ตก็ดีทั้งนั้น ตัวผมชอบใส่รองเท้า CONS เพราะมันเบา และกระชับกับเท้าเพราะด้านในของรองเท้าเป็นกำมะหยี่ การใช้งานถือว่าดีมาก ลองดูพวก AS-1 ก็ได้ครับ

 

ตําแหน่งแฟนพันธุ์แท้ Converse มีความหมายอย่างไรสําหรับคุณ? เราเคยได้ยินว่ามีเด็กๆหลายคนได้แรงบันดาลใจจากคุณ

ขอให้คุณแบ่งปันเรื่องราวที่คุณประทับใจใหเ้ราฟังสักเรื่องได้ไหม?

มันมีความหมายมาก มันเหมือนกับการได้รับปริญญาอีกใบ มีหลายสิ่งที่ตามมาหลังจากที่ผมได้รางวัลนี้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของเพื่อน, ชื่อเสียง, การได้รับการยอมรับ โดยเฉพาะด้านครอบครัว มันเป็นการพิสูจน์ให้คนในครอบครัวของผมได้เห็นโดยเฉพาะพ่อของผมที่เขาอาจไม่เข้าใจสิ่งที่ผมทำก่อนหน้านี้ มันทำให้เขาได้เห็นว่ามันพาเรามาถึงจุดนี้ได้

 

 ตอนที่ผมจะเข้าไปแข่งขันแฟนพันธุ์แท้ ผมเตรียมตัวเยอะมาก โดยเฉพาะการท่องจำชื่อรุ่น จากนั้นก็จำช่วงเวลาต่างๆ ตอนนั้นมันมีอินเตอร์เน็ตแล้วผมก็สามารถค้นหาเรื่องราวต่างๆได้ สำหรับผมมันไม่ได้ยากมากอาจเพราะเราอยู่กับมันทุกวัน แต่ทั้งหมดนั้นคือก่อนเริ่มถ่ายรายการ พอถึงวันจริงมันตื่นเต้นมาก ตื่นเต้นที่สุดในชีวิตแล้ว

 

เราต้องพยายามคุมตัวเองให้ได้ ถ้าให้เปรียบเทียบมันเหมือนเพลง Lose Yourself ของ EMINEM มันคือโอกาสเดียวในชีวิต แต่ถึงจะเตรียมตัวแค่ไหนสุดท้ายมันก็มีคำถามที่หลุดจากที่เราเตรียมมาอยู่ดี เพราะทางรายการเอาคุณ ปิ๊น Carnival มาเป็นที่ปรึกษา และเขาจะมีหนังสือสารานุกรมของ Converse ที่มีข้อมูลซึ่งเอามาอ้างอิงได้ คำถามบางส่วนก็น่าจะมาจากเขาซึ่งบางข้อมันอยู่นอกเหนือจากที่ผมเตรียมมา

 

ตอนท้ายรายการผมตอบคำถามสุดยอดแฟนพันธุ์แท้ไม่ถูกก็จริงแต่ผมก็ไม่ได้เสียใจเลยเพราะเป้าหมายจริงๆของผมคือถ้วยรางวัลสุดยอดแฟนพันธุ์แท้ และผมก็ได้มันมาตามที่ตั้งใจไว้

 

เรื่องราวที่ประทับใจส่วนใหญ่จะเป็นการได้พบเจอคนใหม่ๆมากกว่า หลังจากผมได้รางวัลก็มีคนรู้จักผมมากขึ้น เดินห้างก็มีคนมาขอถ่ายรูป บางคนก็เข้ามาพูดคุย และกลายเป็นเพื่อนกันจนถึงทุกวัน สิ่งที่ตามมาหลังจากได้รางวัลนี้คือสิ่งที่ทำใ้ห้ผมประทับใจ 

 

หาก “โย แฟนพันธุ์แท้ Converse” หลุดไปอยู่ในโลกคู่ขนานที่ตัวเองกลายเป็นรองเท้า Converse สักคู่นึง

คุณคิดว่าคุณจะกลายเป็นรองเท้ารุ่นไหน?

 ผมว่าผมคงเหมือนกับรองเท้า Jack Purcell สีดำนะ อย่างที่บอกไปว่าผมมีชีวิตสองด้าน ด้านที่คนรู้จักกับอีกด้านที่เป็นชีวิตส่วนตัว รองเท้า Jack Purcell ก็เหมือนกัน มันมีมุมที่ถูกมองว่าเป็นรองเท้าที่เรียบร้อย และสุภาพก็ได้ แต่ในอีกทางนึงมันมีความเซอร์ มันเป็นเหมือนตัวแทนดนตรีแนวกรันจ์ ดังนั้นมันจึงเหมือนตัวของผม

 

สำหรับผมมองว่าตัวเองคือรองเท้ารุ่นธรรมดาเพราะผมคือคนธรรมดา ผมไม่ได้พิเศษกว่าใคร ผมไม่ใช่ตัว Collab ผมไม่ใช่ตัวดีไซเนอร์ ผมคือตัวที่ผลิตขายเยอะแยะ มีให้ซื้อใส่ตลอดเพราะผมคือคนธรรมดาครับ

 

ต่อให้คนหมู่มากอาจจะมองไม่เห็นเรา แต่มันจะมีอย่างน้อยสักคนแน่ๆ ที่มองเห็นสิ่งที่เราทำ”

กาฟิว – ฐิติพัฒน์ เจนพัฒนานนท์

ลองเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับตัวของคุณให้เราได้รู้จักสักหน่อยได้ไหมครับ?

ก่อนหน้านี้ผมเริ่มทำงานในฝั่งโปรดัคชั่นต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นถ่ายวีดีโอ, ตัดต่อ รวมถึงเป็นผู้ช่วยผู้กำกับตามสายงานที่เรียนมา และมาพบจุดเปลี่ยนเมื่อได้ทำงานเบื้องหลังให้กับ MV หลายๆตัวจนรู้สึกว่าอยากกลับมาทำเพลงอีกครั้งเหมือนตอนที่เคยเล่นดนตรีช่วงมัธยม

.

ผมจึงรวมตัวกับกลุ่มเพื่อนตั้งกรุ๊ป Hip hop และ R&B ชื่อว่า SIXSUMMER AUDIO โดยผมเป็นหนึ่งในศิลปินที่ใช้ชื่อว่า “gf” ความพิเศษของกรุ๊ปนี้คือจะไม่ได้เป็นเพียงแค่กลุ่มที่ทำเพลงแต่ยังรวมไปถึงงานศิลปะต่างๆอีกด้วย

 

 จากนั้นผมได้มีโอกาสรู้จักกับทีม BLAQ LYTE Digital ซึ่งอยู่ในช่วงที่กำลังทำค่ายเพลงจึงมีโอกาสได้เข้ามาอยู่ภายใต้ชายคาของ BLAQ LYTE Digital ตรงนี้ช่วยพวกผมได้มากในเรื่องการพัฒนาความคิดในด้านต่างๆ เหมือนมีผู้ใหญ่คอยชี้แนะให้คำปรึกษา ล่าสุดสิ่งที่ผมกำลังทำเพิ่มเติมอยู่ตอนนี้ก็คือการเป็นดีเจในนาม “.g”

  

รองเท้า Converse อยู่คู่กับวงการดนตรีมาอย่างยาวนาน ทั้งถูกสวมใส่โดยนักดนตรีชื่อดังหรือออกแบบร่วมกับวงดนตรี คุณชอบรองเท้ารุ่นใดมากที่สุด และอยากเห็นวงดนตรีใดร่วมงานกับ Converse บ้าง?

ผมมีอยู่สองคู่ในดวงใจครับ คู่แรกคือรองเท้า Converse One Star สีดำที่พ่อซื้อมาให้สมัยประถม ถือเป็นรองเท้า Converse คู่แรกที่ผมเคยใส่ หลังจากนั้นผมก็ใส่ Converse มาตลอดเลย ส่วนอีกคู่คือ J.W. Anderson x Converse Chuck Taylor All Star ที่ผมเคยเห็น A$AP Rocky ใส่โปรโมตลง IG อยู่บ่อยๆ รองเท้าคู่นี้จะมีลายปริ๊นต์คำว่า J.W. Anderson อยู่ทั่วรองเท้า จริงๆแล้วผมอยากจะซื้อให้ครบทุกสีแต่หามือหนึ่งสภาพสวยๆไม่ได้เลย

 

ส่วนรองเท้าจากสายดนตรีที่เคยทำออกมาจริงๆแล้วผมชอบหลายคู่จนไม่รู้จะหยิบคู่ไหนมาพูดถึงดีแต่   แลถ้าให้เลือกวงดนตรีที่ผมอยากเห็นพวกเขามาร่วมงานกับ Converse ก็คงจะเป็นวงจากอีกสายหนึ่งของดนตรีที่ผมชอบนั่นคือ Dub Soundsystem, Reggae ผมอยากเห็นสีสันรองเท้าจากเพื่อนๆสายนี้ในประเทศไทยอย่างวง Rootsman Creation หรือ Srirajah Sound System เพราะผมว่ามันน่าจะออกมาสนุกดีครับ

 

หากเราได้พบกับตัวตนอีกคนของคุณในโลกคู่ขนานซึ่งอยู่ที่ใดสักแห่ง เขาคนนั้นจะเป็นคนแบบไหน

ทำอาชีพอะไร และใส่รองเท้า Converse รุ่นใด?

 เขาคนนั้นคงจะเป็นคนที่เรียบร้อยมาก เขาจะไม่ดื้อเลย แต่เขาจะยังคงชอบดนตรีเหมือนผม ตอนนี้เขาคงจะพาตัวเองไปฟังเพลงคลาสสิค เพลงแจ๊สหรืออะไรพวกนั้น กาฟิวคนนั้นก็คงจะเป็นคนช่างเลือกเหมือนกาฟิวคนนี้ โดยเขาอาจจะเป็นแค่ผู้ผลิตผลงานที่ไม่ออกหน้า อาจจะทำงานศิลปะหรือคัสตอมสิ่งต่างๆ ครับ

 

ผมคิดว่าเขาคงจะใส่รองเท้าเฉพาะรุ่นที่เป็น Collaboration อย่างเดียว อาจจะเป็น Feng Chen Wang x Converse Chuck Taylor หรืออะไรแบบนั้นครับ

 

เมื่อพูดถึงเรื่องของ passion ในสิ่งที่ทำอยู่ตอนนี้ ส่วนใหญ่แล้วคุณได้แรงบันดาลใจมาจากไหน แล้วเริ่มต้นทำมันมาจากอะไร และในอนาคตมองตัวเองไว้ยังไง ยังอยากสร้างสรรค์ผลงานต่อไป ในรูปแบบไหน อย่างไรบ้าง?

 

 ถ้าเป็นตอนเด็กๆ ที่ลุย SIXSUMMER AUDIO อยู่ก็คงเน้นไปที่สื่อหรือคอมมูนิตี้ของฝรั่ง เช่น Instagram, Reddit เราไปอ่านดูว่าฝรั่งเขาโพสต์อะไร แชร์อะไรบ้างที่เป็นเทรนด์ เพราะเราอินกับคัลเจอร์เหล่านั้น ส่วนใหญ่ก็เป็นสื่อหรือคอมมูนิตี้ที่เป็นกระแสหลักไม่ต่างจากคนอื่น

 

ส่วนเวลาหาแรงบันดาลใจอันนี้อาจจะต่างไปบ้างแต่โดยรวมก็ไม่ได้ต่างกัน เช่น YouTube, Spotify บางทีก็เป็นคลิปวีดีโอสั้นๆที่มีความน่าสนใจ พอโตมาผมมีโอกาสได้ไปงานต่างๆเยอะ ไม่ว่าจะเป็นงานบนดินหรือใต้ดินทำให้ผมได้เห็นโครงสร้างการจัดงานต่างๆซึ่งนำมาปรับใช้กับงานของตัวเองได้

 

มีอยู่ช่วงนึงผมเคยคิดจะเลิกทำ SIXSUMMER AUDIO เพราะรู้สึกเหมือนว่ามันอาจจะไม่ใช่ มันเป็นความรู้สึกว่ามันตันๆ ซึ่งผมก็พยายามหาคำตอบ และได้มันมาเมื่อไม่นานนี้ นั่นคือผมรักดนตรีจริงๆ Sound in my soul จริงๆ ผมเกิดมาพร้อมเสียงเพลง และรักมันจริงๆ ที่เราทำเพราะชอบจริงๆไม่ใช่ฝืนทำ ตอนนี้ผมทำซีนดีเจด้วยซึ่งผมก็ชอบมันมากเช่นกัน

 

ส่วนเรื่องอนาคตผมยังให้คำตอบร้อยเปอเซ็นต์ไม่ได้แต่ผมกำลังนำสิ่งที่ทำๆอยู่มารวมกันเพื่อพัฒนาต่อยอดว่ามันจะเป็นอะไรได้บ้าง ที่ผมคิดๆไว้ก็เป็นโปรดิวเซอร์, ผู้จัดงาน หรือผู้กำกับงานดนตรีซึ่งที่พูดมามันเกี่ยวกับดนตรี และเพลงทั้งนั้นเลย ผมจึงยังตอบไม่ได้แต่มันจะสนุกอย่างแน่นอน ผมรู้สึกว่ากำลังเรียนรู้ และพัฒนาขึ้น มันยังอยู่ในช่วงทดลองครับ

 

ในฐานะที่คุณได้รับเลือกให้เป็น All Star ของแบรนด์ Converse คุณมีประสบการณ์ใดที่อยากจะแชร์ให้เราฟัง

และอยากจะฝากอะไรให้คนที่ได้อ่านบทสัมภาษณ์นี้บ้างไหม?

 

ผมมีโอกาสได้ไปทริปที่ประเทศบราซิลกับ Converse มา มันเป็นโปรเจกต์ที่พาให้เราไปเจอกับ เหล่าAll Star จากทั่วโลก ผมมีโอกาสได้ไปเจอกับเพื่อนๆหลายคน ต่างคนพูดกันคนละภาษา และคนละวัฒนธรรม ทุกคนมาช่วยกันทำงานหนึ่งงานร่วมกัน

 

มันเป็นการทำงานที่มีความสุขที่สุดของผมเลย มันเป็นการทำงานที่ทุกคนต่างเอาเหตุผลมาสู้กันเพื่อนำเสนอแนวคิดของตัวเอง ทุกคนกล้าที่จะพูดกล้าที่จะคิดกันมาก สุดท้ายแล้วไอเดียของผมก็ได้เข้าไปอยู่ในชิ้นงานนั้นเยอะพอสมควรด้วย

 

ถ้ามีอะไรที่ผมได้เรียนรู้ และอยากจะฝากบอกไปยังทุกคนก็คือถ้าเราทำอะไรก็ทำให้สุด อย่าปิดกั้นความคิดของตัวเอง ถ้าคุณมีเพื่อนรอบตัวที่มีความคิด ความสนใจเหมือนกันให้รวมตัวกันทำเลย อย่ารอช้า ต่อให้คนหมู่มากอาจจะมองไม่เห็นเรา แต่มันจะมีอย่างน้อยสักคนแน่ๆ ที่มองเห็นสิ่งที่เราทำ

 

“เป้าหมายของผมคืออยากทำให้ภาพจำของผู้คนต่องานสตรีทอาร์ทเปลี่ยนไป และศิลปินมีพื้นที่มากขึ้น”

เฟม – พีรพัฒน์ อื้อพรรณรังษี

Converse เป็นแบรนด์รองเท้าที่มีอายุมากกว่า 100 ปี ถือเป็นรองเท้าที่อยู่คู่กับทุกยุคสมัย ผู้คนแต่ละยุคก็มีประสบการณ์กับแบรนด์นี้ที่แตกต่างกันออกไป ในฐานะที่คุณเป็นคนรุ่นใหม่ คุณรู้จัก Converse ได้อย่างไร

และอะไรคือความประทับใจที่คุณมีต่อแบรนด์นี้?

ผมจำไม่ได้ว่าผมรู้จักกับแบรนด์ Converse ได้ยังไงแต่ว่าตั้งแต่จำความได้ผมก็เห็นแบรนด์นี้แล้ว ย้อนกลับไปตอนเด็กด้วยความที่เป็นเด็กต่างจังหวัดพอตอน ป.6 มีโอกาสได้มาเรียนที่กรุงเทพก็เห็นรองเท้าที่มีสัญลักษณ์รูปดาววางขายอยู่หลายที่ เมื่อกลับไปลองถามคนที่บ้านดูจึงได้รู้ว่ามันคือแบรนด์ Converse 

 

รองเท้า Converse คู่แรกของผมคือ Chuck Taylor All Star หุ้มข้อแต่จำไม่ได้ชัดๆว่าเป็นสีดำหรือว่าส้มออกน้ำตาล พอเข้าสู่ช่วงมหาวิทยาลัยได้มีโอกาสรู้จักกับเพื่อนที่เป็น Sneakerhead จึงได้รู้จักกับไลน์ต่างๆของ Converse มากขึ้นไม่ว่าจะเป็น Chuck Taylor 70s หรือ Converse Made in USA

 

ในปัจจุบันงานศิลปะสามารถเข้าถึงผู้คนในวงกว้างได้ง่ายกว่าในอดีตโดยผ่านทางโซเชี่ยลเน็ตเวิร์ค นั่นรวมถึงการนำงานศิลปะไปใช้ในเชิงพาณิชย์ได้หลากหลายรูปแบบกว่าเดิม คุณมองว่ามันส่งผลต่อวงการศิลปะอย่างไร?

เมื่อก่อนเรื่องพวกนี้ถือเป็น Subculture เฉพาะกลุ่ม แต่พอถึงจุดนึงที่พูดว่าจะให้มันเป็นอาชีพ การมีเรื่องพวกนี้เข้ามาก็เหมือนขยายสายงาน ศิลปินหลายคนก็ดังขึ้นมาจากการทำอะไรแบบนี้ ทำให้คนที่อยากทำสิ่งเหล่านี้เป็นอาชีพอย่างจริงจังมันจับต้องได้มากขึ้น และเวลาที่คนทั่วไปได้เห็นงานเหล่านี้มันก็เกิดภาพจำที่ดีขึ้น สายสตรีทอาร์ตอาจจะไม่เท่าไรนักแต่งานสายกราฟฟิตี้ในเมืองไทยมันมีภาพติดลบในสายตาผู้คนซึ่งพอมันแมสมากขึ้นคนก็มีความเข้าใจมันมากขึ้น

 

ส่วนข้อเสียก็มีเนื่องจากเมื่อมันเป็นที่นิยม และทำเงินได้ก็จะมีคนใหม่ๆเข้ามาทำสิ่งเหล่านี้เพื่อการพาณิชย์ล้วนๆซึ่งมันก็จะมีอีกกลุ่มที่เขาทำตรงนี้อยู่แล้วส่งผลให้เกิดเป็นคนสองกลุ่มซึ่งบางทีก็ไม่เข้าใจกัน มันทำให้นิยามตรงนี้เปลี่ยน และส่งผลกระทบกับคนทั้งหมดในแง่ใดแง่หนึ่งอยู่ดี ยกตัวอย่างเช่นคนที่เข้ามาทำเพื่อพาณิชย์ บางครั้งพอมันทำเงินไม่ได้อย่างที่ตั้งใจพวกเขาก็แค่ออกไปแต่มันทิ้งผลระยะยาวไว้ให้คนที่ยังอยู่ จากนิยามที่มันเปลี่ยนไปทำให้มีการเอาความนิยมหรือยอดขายมาใช้เป็นดัชนีชี้วัดคุณภาพของศิลปิน

 

ด้วยวัสดุ และรูปทรงของตัวรองเท้าทำให้ Converse Chuck Taylor ถูกยกให้เป็นเหมือนผืนผ้าใบสีขาวที่ศิลปินทั่วโลกสามารถถ่ายทอดผลงานศิลปะของตัวเองลงไปได้ รองเท้ารุ่นโปรดของคุณคือรุ่นใด?

 

สำหรับผมก็เห็นด้วยที่ Chuck Taylor เป็นรองเท้าที่เหมาะจะถ่ายทอดงานศิลปะลงไปเพราะมันมีส่วนผ้าใบที่กว้าง แต่ถ้าให้เลือกผมมองว่า One Star น่าสนใจดีนะ โดยเฉพาะหากนำมาทำอะไรมากกว่าแค่การเพ้นต์สีลงไป ผมชอบดาวตรงกลางของมัน เดี๋ยวนี้มีอุปกรณ์มีเดียที่หลากหลาย ผมว่ามันสามารถทำอะไรได้มากกว่าการเพ้นต์

 

ผมเคยทำคัสตอมให้ Converse ตอนที่เป็น Future Lab ที่ Siam Discovery ซึ่งถ้าทำอะไรได้เยอะมากขนาดตอนนั้น มันอาจจะไม่ต้องเป็น Chuck Taylor แล้วก็ได้

 

หากเราได้พบกับตัวตนอีกคนของคุณในโลกคู่ขนานซึ่งเป็นโลกที่ไร้งานศิลปะ

เขาคนนั้นจะใส่รองเท้า Converse รุ่นใด และทำอาชีพใด?

หากให้ตอบตรงๆ ถ้าผมอยู่ในโลกคู่ขนานที่ไม่ได้ทำงานศิลปะ ผมอาจจะใส่แต่รองเท้าหนังทำงานเป็นผู้จัดการของบริษัทอะไรสักอย่างหรือไม่ก็ทำงานให้กับองค์กรระดับนานาชาติที่ใช้ความรู้เฉพาะทาง เพราะตอนเด็กๆ ผมอินกับองค์กรอย่างสหประชาชาติหรืออะไรพวกนั้น โดยมันคงไม่เกี่ยวกับงานศิลปะเลย แต่ถ้าในโลกนั้นผมยังใส่ Converse ก็คงจะเป็นรุ่นที่มีความคลาสสิคอย่าง Chuck Taylor Low หรือ Jack Purcell สีดำหรือขาวมากกว่า

 

พูดถึงเรื่องของ passion ต่อสิ่งที่ทำอยู่ตอนนี้ คุณได้แรงบันดาลใจมาจากไหน และเริ่มต้นทำมันจากอะไร

ในอนาคตมองตัวเองไว้อย่างไร ยังอยากสร้างสรรค์ผลงานต่อไปในรูปแบบใด?

จริงๆผมเรียนด้านภาพยนตร์ และได้ฝึกงานเยอะมาก มีโอกาสได้ลองเขียนบทแต่มันก็ทำให้เรารู้ตัวว่าจริงๆ เราชอบทำงานอะไรที่มันจบที่ตัวเราร้อยเปอเซ็นต์มากกว่า กับการเขียนบทต่อให้มันมาจากตัวเราทั้งหมดแต่พอวางปากกาที่เหลือมันคือหนังของผู้กำกับแล้ว มันจึงกลายเป็นความอึดอัดเลยตัดสินใจหยุด

 

กลายเป็นชีวิตว่างจนกลับมานั่งคิดว่ายังมีอะไรที่เรายังไม่ได้ทำ และถ้าไม่ทำตอนนี้มันจะเลยช่วงอายุบ้าง ซึ่งมันก็กลับมายังสิ่งที่เกี่ยวกับแนวเพลงที่ผมเปิดนั่นคือฮิปฮอป

 

ผมจึงเริ่มกลับมาหยิบปากกาวาด และมีโอกาสได้ไปเห็นงานที่ประเทศออสเตรเลียซึ่งมันว้าวมากๆ มันไม่ใช่แค่รูปเฉยๆ งานกราฟฟิตี้ของเขามันขึ้นเป็นตึกสิบชั้นแล้ว พอกลับมาผมเลยตัดสินใจลองเขียนคาแรคเตอร์ตัวแรก ไม่ใช่งานตัวหนังสือเหมือนที่เขาเริ่มกันด้วย จากนั้นผมก็รวมตัวกับเพื่อนๆในสายกราฟฟิตี้เพื่อร่วมกันทำงาน

 

ตอนนี้ถือว่าได้ทำสิ่งที่อยากทำแล้วเพียงแต่ว่ามันยังไม่ถึงระดับที่เราตั้งใจไว้ ถ้าให้ยกตัวอย่างก็คือผมยังอยากทำให้ภาพจำของผู้คนต่องานสตรีทอาร์ตมันเปลี่ยนไป ให้มันดูมีความอิสระมากขึ้น มีความร่วมสมัยขึ้น และศิลปินมีพื้นที่มากยิ่งขึ้น นั่นคงเป็นเป้าหมายในอนาคตของผม

สุดท้ายนี้อยากฝากผลงานหรือบอกคนที่ทำงานศิลปะเหมือนกันอย่างไรบ้าง?

ผมอยากบอกคนที่อยู่ในคัลเจอร์เดียวกันว่าให้คงความอนุรักษ์นิยมไว้แค่ครึ่งเดียวก็พอ เราไม่จำเป็นต้องจำกัดงานตัวเองว่าต้องเป็นแค่ตัวหนังสือหรืองานแบบไหน แต่ก็ไม่ใช่ไม่มีอะไรเลย มันต้องมีเพื่อให้รู้ว่าเรามาจากไหน สิ่งที่ผมอยากให้ทุกคนไปโฟกัสมากที่สุดก็คือการพัฒนาสกิลของตัวเอง ยังไงก็ตามสิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือเราต้องให้ความเคารพคนอื่นด้วย

 

“Choose Your Weapon”

“Converse Weapon  รองเท้าที่ไม่ได้อยู่แค่เพียงในคอร์ตบาสเก็ตบอล”

หากพูดถึงสุดยอดนักกีฬาบาสเก็ตบอลช่วงยุค 80 ชื่อแรกๆที่หลายคนนึกถึงคงจะไม่พ้น Magic Johnson และ Larry Bird ซึ่งถูกยกให้เป็นคู่ปรับที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในเวลานั้น สิ่งที่ทำให้เรื่องราวใหญ่โตมากยิ่งขึ้นก็คือการที่ทั้งสองคนต่างเล่นให้กับ Los Angeles Lakers และ Boston Celtics สองทีมดังที่ในเวลานั้นมีความเกลียดชังซึ่งกันและกัน

 

รองเท้าซึ่งเป็นพยานต่อการแข่งขันอันดุเดือดระหว่างทั้งสองคนก็คือ Converse Weapon รองเท้าบาสเก็ตบอลที่อัดแน่นด้วยเทคโนโลยีล่าสุดของ Converse ในตอนนั้น ปี 1986 ซึ่งเป็นปีแรกที่ Converse Weapon ออกวางจำหน่ายพร้อมแคมเปญ “Choose Your Weapon”นั้นเป็นปีเดียวกับที่ Larry Bird ได้รับรางวัล MVP สมัยที่ 3 ของตัวเอง จากนั้นในปี 1987 Magic Johnson ก็ได้รับรางวัล MVP สมัยแรกจาก 3 สมัยที่เขาได้รับตลอดเส้นทางอาชีพ

 

รองเท้า Converse Weapon ถือเป็นการต่อยอดความสำเร็จของโมเดล Chuck Taylor และ Pro Leather ของ Julius Erving ส่วน Upper ของรองเท้าใช้วัสดุหนัง และเสริมแถบซัพพอร์ต Y-Bar บริเวณข้อเท้า รวมถึงการเสริมซัพพอร์ตตรงส้นเท้าเพื่อความสบายในการสวมใส่ ทำให้เหมาะกับการใส่เล่นบาสเก็ตบอลมากยิ่งขึ้น

เข็มนาฬิกาหมุนผ่านไป 35 ปี ล่าสุดในปี 2021 ที่ผ่านมา Converse Weapon ถูกนำมาตีความ และนำเสนอใหม่ภายใต้ชื่อ TURBOWPNโดย Rick Owens จากนั้นเมื่อเข้าสู่ปี 2023 Converse ได้ร่วมงานกับ Fragment, TITAN, Undefeated และ Kasina ทำให้ชื่อของ Converse Weapon เริ่มกลับมาเป็นที่สนใจของคนรักรองเท้าผ้าใบทั่วโลกอีกครั้ง

 

ในปี 2024 นี้ เราจะได้พบกับ Converse Weapon หลากหลายรุ่นโดยเร่ิมจาก Converse Weapon Hi และ Converse Weapon OX จากแคมเปญ “Create History, Not Hype” ที่ได้ Shai Gilgeous-Alexander(SGA) ซูเปอร์สตาร์จากทีม Oklahoma City Thunder ใน NBA มาเป็นผู้นำเสนอ

 

ปัจจุบัน Converse Weapon กลายเป็นหนึ่งในรองเท้าระดับไอคอนิคของแบรนด์ Converse ที่ไม่ได้อยู่แค่เพียงในคอร์ตบาสเก็ตบอลแต่ผู้คนต่างนำไปผสานเข้ากับรูปแบบการแต่งกายที่หลากหลาย การกลับมาของ Converse Weapon ในครั้งนี้ไม่ใช่เป็นการนำพาอดีตมาพบกับปัจจุบัน หากแต่เป็นการนำองค์ความรู้ในอดีตมาใช้เป็นกุญแจเพื่อปลดล็อคสู่อนาคตที่ยิ่งใหญ่

 



 









Contact Us

Facebook

Instagram

Youtube

Spotify

Tiktok

Email

Share:

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • คุกกี้ที่จำเป็น
    Always Active

    ประเภทของคุกกี้มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้ได้อย่างเป็นปกติ และเข้าชมเว็บไซต์ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้

  • คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์

    คุกกี้ประเภทนี้จะทำการเก็บข้อมูลการใช้งานเว็บไซต์ของคุณ เพื่อเป็นประโยชน์ในการวัดผล ปรับปรุง และพัฒนาประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ ถ้าหากท่านไม่ยินยอม ให้เราใช้คุกกี้นี้ เราจะไม่สามารถวัดผล ปรับปรุงและพัฒนาเว็บไซต์ได้

Save