Intro to F1 : ดูการแข่งขันให้สนุกต้องรู้อะไรบ้าง | EP.05

EP. นี้มันเริ่มต้นมาจากวันหนึ่งขณะที่เรานั่งดูการแข่งขัน F1 ที่ออฟฟิศ แล้วเพื่อนในออฟฟิศมันเห็นว่าเรานั่งดูอย่างจริงจังพร้อมกับเสียงเชียร์ที่ไปรบกวนมันแหละ มันก็เลยมาถามว่า “มึงสนุกอะไรวะ กูเห็นรถมันก็วิ่ง ๆ วน ดูอันดับตอนจบแค่นั้นก็พอปะ

ซึ่งเราเองก็กำลังนั่งคิดอยู่พอดีว่า EP. ถัดไปจะเขียนอะไร พอไอ้เพื่อนเวรนั่นมันถามมาแบบนี้ ก็เข้าทางเลยสิครับ งั้นเขียนเรื่องนี้แหละ เผื่อหลาย ๆ คนที่ยังไม่เข้าใจความสนุกของการดู F1 จะได้เข้าใจไปพร้อมกันด้วยเลย

อย่างแรกเราต้องลองเอาตัวเข้าไปใส่ในโลกนี้ก่อน แล้วเราจะเข้าจากทางไหนได้บ้าง หลายคนที่เรารู้จักที่เข้าสู่โลกนี้ได้ไม่นานมักจะมาจากการได้ดูภาพยนตร์ที่ชื่อ F1 THE MOVIE ซึ่งนำแสดงโดย Brad Pitt และมีนักแข่ง Lewis Hamilton แชมป์โลก 7 สมัยจากทีม Ferrari ในปัจจุบัน ร่วมเป็น Executive Producer ด้วยเช่นกัน แต่ในส่วนของเราเหตุผลที่เริ่มกลับมาดู F1 อย่างจริงจัง มาจากอิทธิพลของซีรีส์ F1: Drive to Survive ทาง Netflix

F1 the Movie
Image Source from: IMDB

F1: Drive to Survive ไม่ใช่การถ่ายทอดสดกีฬาแต่เป็นสารคดีกึ่งละครหรือ Docudrama ที่เสนอเรื่องราวเบื้องหลังของ F1 เบื้องหลังการทำงาน ดราม่า และการเมืองต่าง ๆ ที่คนดูจะไม่สามารถเห็นได้ในการถ่ายทอดสดของการแข่งขันปกติ ซึ่งตัวซีรีส์จะฉายต่อเมื่อการแข่งขันในฤดูกาลนั้นสิ้นสุดลงแล้ว เรารู้สึกว่าจุดเด่นของตัวซีรีส์นี้แหละที่ทำให้เราได้รู้จัก และผูกพันกับทีมหรือนักแข่งมากขึ้นโดยไม่รู้ตัว จนสามารถทำให้เราเลือกได้ว่าจะเชียร์หรือติดตามทีมไหนต่อในฤดูกาลถัดไป เรียกได้ว่าในตอนนี้แม้แต่สตาฟหรือผู้จัดการทีมก็มีแฟนคลับเป็นของตัวเองจากผู้ชมที่ติดตาม Drive to Survive มาโดยตลอด ซึ่งเราคิดว่านี่คือทางที่ง่ายที่สุดแล้วถ้าจะเริ่มต้นดูกีฬาชนิดนี้ให้สนุก

F1 the Movie
Image Source from: IMDB

หลังจากที่เราเลือกได้แล้วว่าจะอยากจะเชียร์ทีมไหนหรือนักแข่งคนใด ขั้นตอนต่อไปก็คือรู้รายละเอียดของการแข่งขัน โดยการแข่งขันแต่ละสนามส่วนใหญ่มักจะจัดในวันหยุดสุดสัปดาห์เป็นเวลา 3 วัน

แบ่งเป็นรอบ Free practice (รอบฝึกซ้อม) จัดขึ้นในวันศุกร์ / Qualifying (รอบคัดเลือกจัดอันดับนักแข่งสำหรับวันแข่งจริง) จัดขึ้นในวันเสาร์ ซึ่งการดูรอบจัดอันดับนี้จะเพิ่มความตื่นเต้นอย่างมาก เพราะคุณจะรู้ได้ทันทีว่านักแข่งที่คุณเชียร์มีโอกาสมากน้อยแค่ไหนในการคว้าชัยชนะในวันแข่งจริง โดยการแข่งขันรอบคัดเลือกจะมีกติกาคร่าว ๆ ตามนี้

Qualifying
Image Source from: F1

Q1 (Qualifying 1)

  • ระยะเวลา: 18 นาที
  • จำนวนรถ: นักแข่งทั้งหมด 20 คันลงสนาม
  • เมื่อขับวนจนหมดเวลา นักแข่งที่ทำเวลาช้าที่สุด 5 อันดับสุดท้าย จะถูกคัดออกและต้องออกสตาร์ทในตำแหน่งที่ 16 ถึง 20 ในวันอาทิตย์ (ยกเว้นกรณีมีโทษปรับตำแหน่ง) กลยุทธ์ที่น่าสนใจคือ ทีมมักจะใช้ยาง Soft (สีแดง) เพื่อทำเวลาให้ปลอดภัย และอาจจะมีการเข้าพิทเพื่อเปลี่ยนยางชุดใหม่ในช่วงท้าย

Q2 (Qualifying 2)

  • ระยะเวลา: 15 นาที
  • จำนวนรถ: นักแข่งที่ผ่านเข้ารอบ 15 คัน
  • เมื่อสิ้นสุดเวลา 15 นาที นักแข่งที่ทำเวลาช้าที่สุด 5 อันดับสุดท้าย จะถูกคัดออกและต้องออกสตาร์ทในตำแหน่งที่ 11 ถึง 15 ส่วนในเรื่องของยางที่ใช้ทำเวลาที่ดีที่สุดใน Q2 จะเป็นยางที่นักแข่ง Top 10 ต้องใช้ในการออกสตาร์ท (Start) ในวันอาทิตย์! นี่คือจุดที่คุณต้องจับตาดูนักแข่งที่คุณเชียร์ ว่าจะเลือกใช้ยาง Medium (สีเหลือง) ที่ทนทานกว่าในการออกตัว หรือเสี่ยงใช้ยาง Soft (สีแดง) ที่เร็วกว่า

Q3 (Qualifying 3)

  • ระยะเวลา: 12 นาที
  • จำนวนรถ: นักแข่งที่เหลือ 10 คันสุดท้าย
  • ในการคัดเลือกรอบนี้จะไม่มีใครถูกคัดออก แต่เป็นการขับเพื่อชิงตำแหน่ง Pole Position (อันดับ 1) ไปจนถึงอันดับ 10 โดยส่วนใหญ่ทุกทีมจะใช้ยาง Soft (สีแดง) เท่านั้น และมักจะมีการเข้าพิทในช่วง 4-5 นาทีสุดท้าย เพื่อเปลี่ยนเป็นยางชุด Soft ใหม่เอี่ยมสำหรับการวิ่งทำเวลาครั้งสุดท้าย

Main Race
Image Source from: F1

ถัดมาถึงวันอาทิตย์คือ Main Race (การแข่งจริง) ซึ่งอันดับการออกสตาร์ทจะมาจากวันเสาร์ ใครทำเวลาที่ดีที่สุดในการขับต่อรอบ ก็จะเป็นผู้ออกสตาร์ทอันดับ 1 และไล่ตามกันลงไปตามเวลาที่ทำได้ แต่ในบางสนามจะมีการจัด Sprint Race (การแข่งขันระยะสั้น) ขึ้นในวันเสาร์ก่อนรอบคัดเลือก เพื่อเก็บคะแนนเล็กน้อยและเพิ่มความสนุกในการดูสำหรับวันที่ไม่ใช่การแข่งขันจริง ถ้าถามว่า Sprint Race สนุกตรงไหน เราคิดว่ามันน่าจะมาจากการที่นักแข่งและทีม มีเวลาเตรียมตัวน้อยและไม่มีการกำหนด Pit Stop ทำให้เกิดความเสี่ยงหรือความท้าทายในการขับและปรับแต่งรถที่สูงขึ้นอย่างมาก

สำหรับ F1 นอกจากนักแข่งที่จะขับรถให้เร็วที่สุดเพื่อชัยชนะแล้ว กลยุทธ์ต่าง ๆ ก็เป็นสิ่งสำคัญ ซึ่งอย่างแรกที่จะเห็นการได้อย่างชัดเจนคือการจัดการยาง แต่ละทีมต้องเลือกยาง 3 ชนิดจากที่ FIA ได้กำหนดไว้ ได้แก่ Soft, Medium, Hard และต้องเปลี่ยนยางอย่างน้อย 2 ชนิดในการแข่งขัน ในส่วนเรื่องรายละเอียดของชนิดยางจะแยกได้ดังนี้

Soft (สีแดง)
เกาะถนนดีที่สุด เร็วที่สุด แต่สึกหรอเร็วที่สุด (อายุสั้น)
Medium (สีเหลือง)
ความเร็วปานกลาง ทนทานปานกลาง (อายุยาวขึ้น)
Hard (สีขาว)
ช้าที่สุด ทนทานที่สุด ใช้งานได้ยาวนานที่สุด

F1 Tyres
Image Source from: F1

เมื่อยางยิ่งสึกหรอมากก็จะทำให้ความเร็วของรถแข่งลดลงอย่างมากเช่นกัน และสิ่งเหล่านี้ก็จะมีผลถึงการเข้าพิท ในส่วนใหญ่แต่ละทีมก็จะเข้าพิท 1-2 ครั้งเพื่อให้นักแข่งทำการเปลี่ยนยาง โดยหลัก ๆ จะมีกลยุทธ์ในการเข้าพิทอยู่ 2 แบบ ได้แก่

Undercut คือกลยุทธ์การเข้าพิทก่อนคู่แข่ง เมื่อรถเข้าพิทแล้วเปลี่ยนยางใหม่ที่เร็วกว่า จะได้เวลาต่อรอบดีขึ้น และหวังว่าจะแซงคู่แข่งที่ยังอยู่บนสนามได้

Overcut กลยุทธ์ตรงข้าม คือการอยู่บนสนามต่ออีกหลายรอบเพื่อทำเวลาที่ดีกว่าด้วยยางเก่า แล้วค่อยเข้าพิททีหลัง โดยหวังว่ายางเก่าของตนจะยังทำเวลาได้ดีพอ

นอกจากกลยุทธ์ของการใช้ยางและการเข้าพิทแล้ว ก็จะมีเทคนิคที่นักแข่งมักจะใช้บ่อยในวันแข่งจริงอย่างเช่น

DRS (Drag Reduction System) คือระบบพิเศษที่นักแข่งสามารถกดปุ่มเปิดปีกหลังรถให้แบนราบเพื่อลดแรงต้านอากาศ และทำให้รถมีความเร็วเพิ่มขึ้นถึง 10-20 กิโลเมตรต่อชั่วโมง มักจะใช้กันในการแซงคู่แข่งด้านหน้า โดยจะใช้งานได้ก็ต่อเมื่อรถต้องอยู่ใน DRS Zone ตามที่สนามกำหนดและต้องอยู่ห่างจากรถคันหน้าไม่เกิน 1 วินาที แต่ห้ามใช้ใน 2 รอบแรกของการแข่งขัน หรือขณะที่มี Safety Car ออกมาวิ่งนำขบวนอยู่

Slipstream คือการที่นักแข่งจะขับรถตามหลังคันหน้าอย่างใกล้ชิดบนทางตรง เพื่อใช้ประโยชน์จากอากาศที่รถคันหน้าผลักออกไปแล้ว และเกิดพื้นที่สูญญากาศทำให้คันหลังสามารถเพิ่มความเร็วได้สูงขึ้น เนื่องจากไม่เจอแรงต้านของลมที่เข้ามากระทบตัวรถ สำหรับเทคนิคนี้นักแข่งมักจะใช้ก่อนที่ตัวเองจะเปิด DRS เพื่อแซงคันหน้า

Switchback มักจะใช้กันก็ต่อเมื่อรถคันที่ตามหลังพยายามแซงจากด้านในโค้งแต่ไม่สำเร็จ นักแข่งที่แซงจะเบรกลึกเพื่อบังคับให้รถคันหน้าเข้าโค้งกว้าง (Out-Wide) จากนั้นเมื่อเข้าโค้งถัดไปนักแข่งจะเร่งความเร็วขึ้นเพื่อเข้าโค้งถัดไปได้รวดเร็วกว่า และได้เปรียบในการเร่งออกจากโค้งนั้น

Penalty / Disqualification
Image Source from: F1

สำหรับบทลงโทษที่ FIA จะสั่งลงโทษทันทีในขณะแข่งขันเมื่อนักแข่งมีการทำผิดกฎจะมีคร่าว ๆ ดังนี้

Time Penalty (5 หรือ 10 วินาที): การกระทำผิดที่มาจากการขับรถเร็วเกินกำหนดใน Pit Lane, ปล่อยรถออกจาก Pit ไม่ปลอดภัย, แซงขณะธงเหลือง, บังคับคู่แข่งออกนอกสนาม นักแข่งมักจะได้รับโทษ ต้องหยุดนิ่งใน Pit Stop เป็นเวลา 5 หรือ 10 วินาที ก่อนเปลี่ยนยาง ก่อนกลับเข้าสนาม หรือถูกเพิ่มเวลาหลังจบการแข่งขันสนามนั้น

Drive-Through Penalty: นักแข่งต้องขับรถผ่าน Pit Lane โดยไม่ต้องหยุดเปลี่ยนยาง (เสียเวลาประมาณ 20-30 วินาที)

Black Flag (ธงดำ): แปลว่าตัดสิทธิ์ออกจากการแข่งขันทันที (Disqualification) ใช้สำหรับกรณีร้ายแรงมากเท่านั้น

หลังจากการแข่งขันในแต่ละสนามสิ้นสุด นักแข่งและทีมก็จะได้รับคะแนนสะสม สำหรับตัดสินเมื่อจบฤดูกาลว่าใครคือนักแข่งและทีมที่ได้คะแนนมากที่สุด ก็จะได้รับแชมป์ประเภทนั้นไป โดยการให้คะแนนจะแบ่งดังนี้

อันดับที่ 1 : 25 คะแนน
อันดับที่ 2 : 18 คะแนน
อันดับที่ 3 : 15 คะแนน
อันดับที่ 4 : 12 คะแนน
อันดับที่ 5 : 10 คะแนน
อันดับที่ 6 : 8 คะแนน
อันดับที่ 7 : 6 คะแนน
อันดับที่ 8 : 4 คะแนน
อันดับที่ 9 : 2 คะแนน
อันดับที่ 10 : 1 คะแนน

ส่วนคะแนนของประเภททีมจะมาจากคะแนนของนักแข่งทั้ง 2 คนจากแต่ละทีมรวมกัน เช่น นักแข่ง A ได้อันดับที่ 1 : 25 คะแนน และนักแข่ง B ได้อันดับที่ 5 : 10 คะแนน รวมทั้งสองคน 35 คะแนนก็จะกลายเป็นคะแนนสำหรับทีมแข่งจากสนามนั้น ๆ

ในส่วนของการแข่งขัน Sprint Race ก็จะมีการให้คะแนนพิเศษด้วยเช่นกัน ซึ่งจะจัดขึ้นแค่ 5-6 สนามต่อปี โดยหลักการให้คะแนนมีดังนี้

อันดับที่ 1 : 8 คะแนน
อันดับที่ 2 : 7 คะแนน
อันดับที่ 3 : 6 คะแนน
อันดับที่ 4 : 5 คะแนน
อันดับที่ 5 : 4 คะแนน
อันดับที่ 6 : 3 คะแนน
อันดับที่ 7 : 2 คะแนน
อันดับที่ 8 : 1 คะแนน

DHL Fastest Lap Award
Image Source from: F1

นอกจากคะแนนจากการแข่งขันแล้วจะมีคะแนนพิเศษ (Fastest Lap Point) นักขับที่ทำเวลาต่อรอบที่เร็วที่สุดในสนามจะได้ 1 คะแนนพิเศษเพิ่ม แต่มีเงื่อนไขว่านักขับคนนั้นต้องจบใน 10 อันดับแรกเท่านั้น ถ้าทำ Fastest Lap ได้แต่อันดับต่ำกว่า 10 นักแข่งจะไม่ได้คะแนนเพิ่ม

จากรายละเอียดทั้งหมดเหล่านี้ การที่จะชนะใน 1 สนามต้องอาศัยการร่วมมือท่ีสมบูรณ์แบบจากทุกฝ่าย ไม่มีข้อไหนที่สำคัญที่สุดที่จะตัดสินผลงานของนักแข่งหรือทีมได้ ในบางครั้งนักแข่งขับด้วยฟอร์มที่ดีมาก ๆ แต่พลาดแชมป์เพราะทีมงานตัดสินใจใช้กลยุทธ์ที่ผิดก็มี (ลองถามแฟน Ferrari ได้เลย) ยังไม่รวมถึงสภาพจิตใจของนักแข่ง ซึ่งเรียกได้ว่าอาชีพนี้มีความมั่นคงที่ต่ำมาก ฟอร์มขับไม่ดี 4-5 สนามแล้วโดนปลดออกทันทีก็มีมาแล้วเช่นกัน 

Ferrari downplays Australia strategy errors
Image Source from: MoterSportWeek

ส่วนใครที่เลือกได้แล้วว่าตัวเองเชียร์ทีมไหนหรือนักแข่งคนใด สามารถคอมเมนต์มาแชร์กันได้ หวังว่าจะมีโอกาสได้ร่วมชมการแข่งขันด้วยกันกับเพื่อน ๆ ในอนาคตนะครับ

Share:
On Key

Related Posts

WATCHA GONNA ดู

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • คุกกี้ที่จำเป็น
    Always Active

    ประเภทของคุกกี้มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้ได้อย่างเป็นปกติ และเข้าชมเว็บไซต์ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้

  • คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์

    คุกกี้ประเภทนี้จะทำการเก็บข้อมูลการใช้งานเว็บไซต์ของคุณ เพื่อเป็นประโยชน์ในการวัดผล ปรับปรุง และพัฒนาประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ ถ้าหากท่านไม่ยินยอม ให้เราใช้คุกกี้นี้ เราจะไม่สามารถวัดผล ปรับปรุงและพัฒนาเว็บไซต์ได้

Save