Intro to F1 : ย้อนรอยประวัติศาสตร์การแข่งขันรถยนต์ที่เร็วที่สุดในโลก | EP.02

จากเมื่อสองสัปดาห์ก่อนที่เราได้ปล่อย EP.01 เล่าถึงภาพรวมเบื้องต้นของกีฬาที่กระแสแรงที่สุดอย่าง F1 (Intro to F1: ทำความรู้จักการแข่งขันรถยนต์ที่เร็วที่สุดในโลก) วันนี้เรามาต่อ EP.02 เริ่มลงลึกไปในรายละเอียดต่าง ๆ มากขึ้น สิ่งแรกที่คิดว่าควรจะเล่าถึงก็คงเป็นที่มาที่ไปของกีฬาประเภทนี้ว่า การแข่งขันรถยนต์ที่เร็วที่สุดในโลกเกิดขึ้นได้อย่างไร โดยที่เราจะแบ่งเป็น 2 ช่วงเวลาหลัก ๆ คือยุคก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 และยุคหลังสงครามโลกครั้งที่ 2

สำหรับในยุคนี้อาจจะเรียกว่ายุคของ F1 ได้ไม่เต็มปาก แต่ก็ถือได้ว่าเป็นยุคของการเริ่มต้นมอเตอร์สปอร์ตยุคใหม่อย่างจริงจัง แม้จะยังไม่มีการจัดอันดับคะแนนสำหรับชิงแชมป์โลก เป็นแค่การมอบรางวัลให้ผู้ชนะในแต่ละสนาม รวมไปถึงกฎเกณฑ์การแข่งขันของแต่ละสนาม หรือแม้แต่ข้อกำหนดของขนาดเครื่องยนต์ ก็จะแตกต่างกันออกไป

การแข่งขัน Grand Prix ครั้งแรกได้ถูกจัดขึ้นโดย สโมสรรถยนต์แห่งชาติฝรั่งเศส (Automobile Club de France – ACF) ในวันที่ 26 และ 27 มิถุนายน ค.ศ.1906 ใช้การปิดถนนสาธารณะใกล้เมือง Le Mans มาทำเป็นสนามแข่ง ด้วยความยาวของสนามที่ 103.18 กิโลเมตร ต่อ 1 รอบและต้องแข่งขันเป็นจำนวน 12 รอบทำให้ผู้เข้าแข่งขันต้องขับด้วยระยะทางประมาณ 1,238.16 กิโลเมตร สำหรับผู้ชนะ 3 อันดับแรกจากการแข่งขันครั้งนี้ได้แก่

Ferenc Szisz / Renault
Felice Nazzaro / Fiat
Albert Clement / Clement-Bayard

หลังจากการแข่งขันครั้งนี้ก็ได้มีเหตุการณ์สำคัญเกิดขึ้นอีกมากมายที่เรียกว่าได้ว่าเป็นส่วนที่สำคัญของการพัฒนาการแข่งขัน Grand Prix ให้กลายมาเป็นการแข่งขัน F1 ในยุค 1950 ดังนี้

การกำเนิดของสนามแข่งในรูปแบบปิด ที่ไม่ใช่การแข่งขันในถนนสาธารณะอีกต่อไปเนื่องจากเริ่มมีการตระหนักถึงความปลอดภัยของนักแข่งและผู้ชมมากขึ้น ซึ่งสนามแข่งแห่งแรกของโลกที่เกิดขึ้นคือ

Image Source from: Smithsonian Mag

“Brooklands Circuit”
ในเมือง Surrey ประเทศอังกฤษ เริ่มเปิดใช้งานเมื่อปี 1907 ด้วยลักษณะสนามที่มีความเป็นวงรีที่มีความชันเพื่อให้นักแข่งสามารถทำความสูงได้อย่างปลอดภัย

Image Source from: Indianapolis Motor Speedway

“Indianapolis Motor Speedway”
ปี 1909  ตั้งอยู่ในรัฐ Indiana ประเทศสหรัฐอเมริกา เป็นสนามแห่งที่2 ที่สร้างขึ้นเพื่อวัตถุประสงค์ของการแข่งรถด้วยความเร็วสูงโดยเฉพาะ

Image Source from: Motor Y Dominio

“Autodromo Nazionale di Monza”
เริ่มเปิดใช้ในปี 1922 เป็นสนามแห่งที่ 3 ที่ถูกสร้างขึ้น ตั้งอยู่ในเมืองมอนซ่า อยู่ทางตอนเหนือของเมืองมิลาน ประเทศอิตาลี

ค.ศ. 1922 ในช่วงเวลาก่อนหน้าจะใช้การออกสตาร์ทแบบปล่อยตัวทีละคัน เพื่อง่ายต่อการจัดการและลดอุบัติเหตุ แต่ผู้จัดครั้งนี้ได้เริ่มมีการใช้การการออกสตาร์ทแบบรวม (Mass Start) ในการแข่งขัน French Grand Prix ที่เมือง Strasbourg เป็นครั้งแรก ได้รับอิทธิพลมาจากการแข่งขันในประเทศสหรัฐอเมริกา โดยรถแข่งทั้ง 18 คันจะถูกจัดเรียงเป็นสองแถวตามหมายเลขที่ได้รับการจับสลาก ซึ่งได้พบว่าการออกสตาร์ทในรูปแบบนี้ได้สร้างความรู้สึกที่ดุดันและตื่นเต้นอย่างมากให้กับผู้ชมในสนาม และได้นำมาใช้ต่อจนถึงทุกวันนี้

ค.ศ. 1924  ก็ได้มีการยกเลิกกฎที่ต้องให้ช่างเครื่องยนต์นั่งบนรถไปด้วยกับนักแข่ง เหตุผลสำคัญมาจากการเสียชีวิตของ Tom Barrett ช่างเครื่องประจำรถแข่งของ Kenelm Lee Guinness จากทีม Sunbeam ที่ถูกเหวี่ยงออกจากรถและเสียชีวิตทันที จากสาเหตุที่นักแข่งได้ขับรถตกหลุมและไม่สามารถควบคุมรถได้ จนรถหมุนและพลิกคว่ำอยู่บนถนน ในการแข่งขัน San Sebastian Grand Prix ประเทศสเปน

Form left to right Tom Barrett, Kenelm Lee Guinness จากทีม Sunbeam
Image Source from: International Car Events

ค.ศ. 1926 Alfred Neubauer ได้ตระหนักถึงปัญหาของนักแข่งรถในยุคนั้น ที่ต้องขับรถด้วยความเร็วสูงแต่ไม่สามารถที่จะได้รับข้อมูลสำคัญต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นตำแหน่งของตัวเอง จำนวนรอบที่เหลือได้เลย ซึ่งในขณะนั้นเขาได้ดำรงตำแหน่งผู้จัดการทีม Mercedez-Benz ได้คิดค้นระบบให้ข้อมูลกับนักแข่งแบบเรียลไทม์ในขณะที่นักแข่งขับผ่านพิทเลน ซึ่งอุปกรณ์ที่ใช้คือ ธงและป้ายขนาดใหญ่ ที่มีข้อความและสัญลักษณ์ต่างๆเช่น P1, P2 คือการบอกตำแหน่งของนักแข่ง รวมไปถึงการบอกให้เข้าพิทหรือขับให้เร็วขึ้น สิ่งนี้คือจุดเริ่มต้นของ “Pit Board” ที่เราได้เห็นอยู่ในปัจจุบัน และถือได้ว่าเป็นจุดเริ่มต้นของการแข่งรถที่ไม่ได้ใช้แค่ความสามารถเฉพาะตัวของนักขับ แต่รวมไปถึงการวางแผนกลยุทธ์จากทีมด้านข้างสนามอีกด้วย

Alfred Neubauer
Image Source from: Wikipedia

ค.ศ. 1933 Monaco Grand Prix ก่อนการแข่งขันครั้งนี้ การจัดลำดับการออกสตาร์ทจะใช้วิธี “จับสลาก” ใช่แล้วคุณอ่านไม่ผิด ไม่ว่าจะเป็นการออกสตาร์ที่ตำแหน่งดีที่สุด หรือตำแหน่งสุดท้าย ไม่ได้ขึ้นอยู่กับฝีมือในการขับ แต่ขึ้นอยู่กับดวงล้วน ๆ ซึ่งทำให้เกิดปัญหาใหญ่โดยเฉพาะกับสนามที่การแซงเป็นเรื่องยาก เช่น สนามเมือง Monaco เพราะมีความแคบและคดเคี้ยวเป็นอย่างมาก การที่คุณเป็นนักขับที่เร็วที่สุดแต่จับสลากได้อันดับที่ไม่ดี ก็อาจจะทำให้คุณติดอยู่ในขบวนรถไฟ หรือรถที่ช้ากว่าตลอดการแข่งขันได้ ซึ่งอาจจะทำให้นักแข่งรู้สึกว่าไม่ยุติธรรมและลดความสนุกตื่นเต้นในการแข่งขันลงไปได้อีกด้วย

เพราะฉะนั้นด้วยคำแนะนำของ Charles Faroux ผู้จัดงาน Monaco Grand Prix จึงได้เริ่มทดลองใช้ระบบออกสตาร์ทแบบใหม่ที่เรียกว่า “Qualifying” โดยการใช้เวลาจากการขับรอบวันฝึกซ้อม ผู้ที่เวลาต่อรอบเร็วที่สุดในวันนั้นก็จะได้ออกสตาร์ทเป็นคนแรกในวันแข่งจริงและเรียงลำดับลงมาเรื่อยๆ โดยในครั้งนี้รถทั้งหมด 18 คันจะถูกจัดเรียงเป็นแถว แถวละ 3 คัน ซึ่งผู้ที่ได้ตำแหน่งสตาร์ทในอันดับแรก (Pole Position) คือ Achille Vazi จากทีม Bugatti ตามมาด้วย Louis Chiron และ Baconin Borzacchini จากทีม Alfa Romeo

หลังจากมีการปรับเปลี่ยนกฎ พัฒนาการแข่งขันเรื่อยมา Grand Prix ได้ดำเนินมาจนสิ้นสุดของกีฬาแข่งรถในยุคแรก เพราะเข้าสู่ช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 แต่หลังจากนี้การแข่งขันมอเตอร์สปอร์ตจะเริ่มขึ้นอีกครั้งหลังจากสงครามโลกครั้งที่ 2 สิ้นสุดลงในปี ค.ศ.1945 และเป็นจุดกำเนิดของ F1 อย่างเป็นทางการในปี ค.ศ.1950

หลังจากการพักอย่างยาวนานร่วม 7 ปีเนื่องจากสงคราม วงการมอเตอร์สปอร์ตก็ได้เริ่มกลับมาคึกคักอีกครั้งในปี 1946 ที่เมืองตูริน ประเทศอิตาลี ถึงแม้จะไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของการแข่งขันชิงแชมป์โลกของ F1 อย่างเป็นทางการ แต่ก็นับได้ว่าเป็นการแข่ง Grand Prix ที่ถูกจัดขึ้นภายใต้กฎที่ถูกกำหนดโดย AIACR (FIA ในปัจจุบัน) ที่จะใช้สำหรับ “International Formula” และต่อมาได้เปลี่ยนชื่อเป็น “Formula 1” ในวันที่ 1 มกราคม ค.ศ. 1947

ซึ่งการแข่งขันครั้งนี้ใช้ชื่อว่า “III Gran Premio del Valentino (Turin Grand Prix)” จัดขึ้นเมื่อวันที่ 1 กันยายน ค.ศ. 1946 เป็นการแข่งในรูปแบบ Street Circuit ที่วนรอบสวนสาธารณะประมาณ 60 รอบและมีระยะทางต่อรอบ 4.15 กิโลเมตร กำหนดให้รถที่ใช้เข้าแข่งขันต้องมีเครื่องยนต์ที่ขนาดไม่เกิน 1,500 ซีซี พร้อมซูเปอร์ชาร์จ หรือ 4,500 ซีซีไม่มีซูเปอร์ชาร์จ ซึ่งรถจาก 2 แบรนด์ใหญ่ที่ขับเคี่ยวกันในการแข่งครั้งนี้เป็นหลักได้แก่ Alfa Romeo และ Maserati และผู้ชนะก็คือ Achille Varzi ที่เข้าเส้นชัยก่อน Jean-Pierre Wimile เพียง 0.5 วินาที สร้างความสนุกตื่นเต้นให้กับผู้ชมในสนามวันนั้นได้เป็นอย่างมาก

ค.ศ. 1950 เริ่มต้นอย่างเป็นทางการของการแข่งขันสนามแรกที่ถูกนับรวมในปฏิทินชิงแชมป์โลก Formula 1 โดยใช้ชื่อว่า “The Royal Automobile Club Grand Prix d’Europe Incorporating The British Grand Prix” จัดขึ้นในวันที่ 13 พฤษภาคม ที่สนาม Silverstone ซึ่งเป็นสนามแข่งที่ถูกดัดแปลงมาจากสนามบินเก่า มีนักขับเข้าร่วมการแข่งขัน 21 คนจาก 9 ประเทศ แข่งกันทั้งหมด 70 รอบสนาม ระยะทางโดยรวม 325 กิโลเมตร

โดยรถแข่งที่โดดเด่นในเวลานั้น เช่น Alfa-Romeo มาพร้อมกับรถแข่ง Alfa-Romeo 158 หรือที่รู้จักกันในชื่อ “Alfetta” เครื่องยนต์ 8 สูบแถวเรียง ขนาด 1500 ซีซี ซูเปอร์ชาร์จ ทำกำลังได้สูงสุดถึง 400 กว่าแรงม้า เรียกว่าแรงเกินหน้าเกินตาทีมอื่นในยุคนั้น, Maserati ส่ง Maserati 4CLT/48 หรือที่เรียกกันว่า “Sanremo” เข้าร่วมแข่งขันกับเครื่อง 4 สูงแถวเรียง DOHC พร้อมระบบ ซูเปอร์ชาร์จแบบ 2 ชั้นให้กำลัง 260 แรงม้าที่ 7,000 รอบต่อนาที และปรับปรุงโครงสร้างรถจากรุ่นก่อนหน้า 4CL ให้เป็นแบบโครงท่อเหล็กเพื่อลดน้ำหนักและเพิ่มความแข็งแรงให้กับรถ รวมถึงอัปเกรดระบบการสะเทือนแบบปีกนกคู่ (Double Wishbone) และเพลาท้ายแบบแข็งเข้าไปด้วย (Live Axle) และรถอีกหนึ่งคันที่น่าสนใจสำหรับการแข่งขันครั้งนี้ก็คือ Talbot-Lago T26C ซึ่งเป็นรถแข่งจากประเทศฝรั่งเศส เครื่องยนต์ 6 สูบ แถวเรียง 4,500 ซีซีไม่มีซูเปอร์ชาร์จ ผลิตแรงม้า 260 แรงม้าที่ 5,000 รอบต่อนาที เรียกว่าไม่ธรรมดา ถึงแม้รถรุ่นนี้อาจจะไม่ประสบความสำเร็จในรายการ F1 มากนักแต่กลับได้แชมป์การแข่งขัน 24 Hours Le Mans ปี 1950 ซึ่งเป็นชัยชนะที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของรถรุ่นนี้

Image Source from: The Sun

กลับมาที่การแข่งขันของ F1 สนามแรก การแข่งขันเริ่มต้นด้วยระบบ 4-3-4 Formation ที่จะจัดรถเรียงเป็นแถวหน้า 4 คัน ตามด้วย 3 คันและ 4 คันตามลำดับด้วยเวลาจากรอบคัดเลือก ซึ่งผู้ที่ครองแถวหน้าทั้งหมดใช้รถ Alfa-Romeo และผลการแข่งขันได้เป็นไปตามคาดของสื่อในยุคนั้นกับ

อันดับที่ 1 Giuseppe Farina จากอิตาลี ด้วยเวลา 2 ชั่วโมง 13 นาที 23.6 วินาที 
อันดับที่ 2 Luigi Fagioli จากอิตาลี ตามหลังด้วยเวลา + 2.6 วินาที
อันดับที่ 3 Reg Parnell จากอังกฤษ ตามหลังด้วยเวลา + 52 วินาที

ทำให้ Giuseppe Farina ตัวเทพนักแข่งผู้นี้เป็นแชมป์คนแรกในประวัติศาสตร์ของกีฬา F1 ได้สำเร็จ

และในการแข่งขันครั้งนี้ได้มีเหตุการณ์สำคัญอย่างหนึ่งที่เกี่ยวข้องกับประเทศไทยของเราอย่างที่จะไม่เล่าก็คงไม่ได้ เพราะนี่คือเป็นครั้งแรกที่มีนักแข่ง F1 ชาวไทยคนแรกเข้าร่วมการแข่งขันในครั้งนี้ ซึ่งก็คือ “พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าพีรพงษ์ภาณุเดช” หรือ “พระองค์เจ้าพีระ” หรือที่ชาวต่างชาติเรียกว่า “Prince Bira” ท่านสังกัดอยู่ในทีม “Enrico Plate” ซึ่งเป็นทีมจากสวิตเซอร์แลนด์ และขับรถ Maserati 4CLT/48 ซึ่งท่านแสดงฝีมือการขับได้อย่างยอดเยี่ยมตั้งแต่ในรอบคัดเลือก ทำให้ได้ออกสตาร์ทในอันดับที่ 5 ในวันแข่งจริง ซึ่งเป็นอันดับของรถ Maserati 4CLT/48 ที่ดีที่สุดของการออกสตาร์ทจากหลายๆทีมที่ใช้รถรุ่นนี้ในการแข่งขัน ในช่วงต้นของการแข่งขันท่านสามารถรักษาตำแหน่งของตัวเองไว้ได้อย่างดีและไม่ห่างจาก 4 อันดับแรกที่เป็นรถ Alfa-Romeo ทั้งหมด หลังจากการแข่งขันดำเนินไปถึงรอบที่ 49 รถของท่านก็ได้ประสบปัญหาน้ำมันหมด ทำให้ท่านไม่สามารถจบการแข่งขันสนามนี้ได้ ถึงแม้จะไม่เข้าเส้นชัย แต่การออกสตาร์ทที่อันดับ 5 ในสนามแรกของ F1 ก็เรียกได้ว่าท่านไม่ธรรมดาเลยจริง ๆ สำหรับสายอาชีพนักแข่งรถ ซึ่งใน EP. เราคงยังไม่ลงลึกถึงประวัติส่วนตัวและเรื่องราวอาชีพนักแข่งรถของท่านมากนัก แต่จะมาเล่าให้ฟังแน่ ๆ ในอนาคต 

Image Source from: BBC

สำหรับการแข่งขันฤดูกาล Formula 1 World Champion 1950 นั้นไม่ได้มีเพียงแค่สนาม Silverstone แต่ยังมีอีก 6 สนามรวมเป็นทั้งหมด 7 สนามตลอดฤดูกาล ซึ่งมีดังนี้

1) The Royal Automobile Club Grand Prix d’Europe Incorporating The British Grand Prix

ชื่อย่อ : British Grand Prix
วันที่ : 13 พฤษภาคม ค.ศ. 1950
สนาม : Silverstone Circuit ประเทศอังกฤษ
ระยะทาง : 4.649 กิโลเมตร
จำนวนรอบ : 70 รอบ
ผู้ชนะ : Giuseppe Farina จากอิตาลี / ทีม Alfa-Romeo

2) Prix de Monte-Carlo et XI Grand Prix Automobile

ชื่อย่อ : Monaco Grand Prix
วันที่ : 21 พฤษภาคม ค.ศ. 1950
สนาม : Circuit de Monaco ประเทศโมนาโก
ระยะทาง : 3.180 กิโลเมตร
จำนวนรอบ : 100 รอบ
ผู้ชนะ : Juan Manuel Fangio จากอาร์เจนตินา / ทีม Alfa-Romeo

สนามที่สร้างจากถนนจริงในเมืองมอนเตคาร์โล มีความแคบและโค้งหักศอกมากมาย จนทำให้เป็นสนามที่ทำความเร็วได้ต่ำที่สุดจากทุกๆสนาม แต่จุดเด่นของสนามนี้คืออุโมงค์ที่ทำให้นักแข่งต้องพบเจอกับการเปลี่ยนแปลงของแสงที่รวดเร็วขณะแข่งขัน ซึ่งในฤดูกาลปี 1950 สนามนี้คือสนามแรกของสุดยอดทีมในปัจจุบันอย่าง “Scuderia Ferrari” ที่ได้เข้าร่วมการแข่งขัน F1 อีกด้วย

3) 34th International 500-Mile Sweepstakes

ชื่อย่อ : Indianapolis 500
วันที่ : 30 พฤษภาคม ค.ศ. 1950
สนาม : Indianapolis Motor Speedway ประเทศสหรัฐอเมริกา
ระยะทาง : 4.023 กิโลเมตร
จำนวนรอบ : 200 รอบ
ผู้ชนะ : Johnnie Parsons จากสหรัฐอเมริกา / ทีม Kurtis Kraft-Offenhauser

เนื่องจากฝนตกหนักทำให้การแข่งขันจบที่ 138 รอบเท่านั้น ถึงแม้การแข่งขันสนามนี้เป็นสนามเดียวที่ใช้รถแข่งและลักษณะสนามที่แตกต่างจากสนามอื่นๆ รวมถึงนักแข่งทุกคนก็เป็นชาวสหรัฐอเมริกา แต่ในฤดูกาลนี้ FIA ยังคงนับรวมการแข่งขันนี้เป็นส่วนหนึ่งของการเก็บคะแนนชิงแชมป์โลกด้วย

4) Großer Preis der Schweiz für Automobile

ชื่อย่อ : Swiss Grand Prix
วันที่ : 4 มิถุนายน ค.ศ. 1950
สนาม : Circuit Bremgarten ประเทศสวิตเซอร์แลน
ระยะทาง : 7.28 กิโลเมตร
จำนวนรอบ : 42 รอบ
ผู้ชนะ : Giuseppe Farina จากอิตาลี / ทีม Alfa-Romeo

หนึ่งในสนามที่เรียกได้ว่าอันตรายที่สุดเนื่องจากได้คร่าชีวิตนักแข่งไปหลายคนในการแข่งขันยุคก่อนสงครามโลก เนื่องจากเป็นสนามที่ทำความเร็วได้สูงมาก ไม่มีรั้วหรือแนวป้องกันใดๆและเต็มไปด้วยสิ่งกีดขวางทางธรรมชาติ

5) Grand Prix Automobile de Belgique

ชื่อย่อ : Belgian Grand Prix
วันที่ : 18 มิถุนายน ค.ศ. 1950
สนาม : Spa-Francorchamps ประเทศเบลเยี่ยม
ระยะทาง : 14.120 กิโลเมตร
จำนวนรอบ : 35 รอบ
ผู้ชนะ : Juan Manuel Fangio จากอาร์เจนตินา / ทีม Alfa-Romeo

นี่คือสนามที่มีระยะทางยาวที่สุดในการแข่งขันฤดูกาลนี้ และความอันตรายไม่แพ้สนามก่อนหน้าที่สวิตเซอร์แลนด์ สร้างปัญหาให้กับนักแข่งหลายคนเป็นอย่างมาก

6) XXXVII Grand Prix de I’A.C.F.

ชื่อย่อ : French Grand Prix
วันที่ : 2 กรกฎาคม ค.ศ. 1950
สนาม : Reims-Gueux ประเทศเบลเยี่ยม
ระยะทาง : 7.815 กิโลเมตร
จำนวนรอบ : 64 รอบ
ผู้ชนะ : Juan Manuel Fangio จากอาร์เจนตินา / ทีม Alfa-Romeo

เอกลักษณ์ของสนามนี้คือ Street Circuit ที่มีลักษณะเป็นรูปสามเหลี่ยมและมีโค้งหักศอกที่อยู่สุดทางตรงบริเวณ Thillois ซึ่งอันตรายเป็นอย่างมาก ถึงแม้ในปัจจุบันสนามแห่งนี้จะไม่ได้ถูกใช้งานแล้ว แต่โครงสร้างอาคารพิทและอัฒจันทร์ยังถูกเก็บไว้เหมือนเดิมซึ่งตั้งอยู่ริมถนนสาธารณะ สำหรับใครที่ขับรถผ่านไปแถวเมือง Reims ก็สามารถแวะเยี่ยมชมกันได้

7)XXI Gran Premio D’Italia

ชื่อย่อ : Italian Grand Prix
วันที่ : 3 กันยายน ค.ศ. 1950
สนาม : Autodromo Nazionale di Monza ประเทศอิตาลี
ระยะทาง : 6.30 กิโลเมตร
จำนวนรอบ : 80 รอบ
ผู้ชนะ : Giuseppe Farina จากอิตาลี / ทีม Alfa-Romeo

สนามแห่งนี้ถือได้ว่าเป็นหนึ่งในสนามที่เก่าแก่และมีชื่อเสียงที่สุด เปิดใช้งานตั้งแต่ปี 1922 ซึ่งปัจจุบันมีอายุถึง 102 ปีแล้ว ได้รับฉายาว่า “The Temple Of Speed” เนื่องจากสนามประกอบไปด้วยทางตรงยาวและโค้งเป็นวงรีที่มีความชันสูงสามารถทำความเร็วสูงสุดในโลกในเวลานั้น และในฤดูกาล 1950 นี้การแข่งขันที่ Monza ก็เป็นสนามที่ตัดสินอันดับแชมป์โลก F1 เช่นเดียวกัน

จากเรื่องราวของสนามที่ใช้แข่งขันเรามาเล่าถึงการนับคะแนนชิงแชมป์โลกของการแข่งขันฤดูกาลแรกกันบ้าง ซึ่งแต่งต่างไปจากยุคปัจจุบันเป็นอย่างมาก การสะสมคะแนนในยุคนั้นจะถูกมอบให้กับ 5 อันดับแรกของผู้เข้าเส้นชัยแต่ละสนาม และผู้ที่ขับต่อรอบเร็วที่สุด (Fastest Lap) โดยเริ่มจาก 

อันดับที่ 1 : 8 คะแนน
อันดับที่ 2 : 6 คะแนน
อันดับที่ 3 : 4 คะแนน
อันดับที่ 4 : 3 คะแนน
อันดับที่ 5 : 2 คะแนน
Fastest Lap : 1 คะแนน

การนับคะแนนเพื่อหาแชมป์โลกนั้นจะไม่ได้นับทุกสนามที่เข้าร่วมแข่งขันแบบปัจจุบันแต่จะถูกนับแค่เฉพาะ 4 สนามที่ดีที่สุดของนักขับแต่ละคนเท่านั้น ซึ่งหมายความว่านักขับไม่จำเป็นต้องร่วมการแข่งขันในทุกสนาม รวมถึงในรถแต่ละคันจากแต่ละทีมก็สามารถมีนักขับได้มากกว่า 1 คน หรือเรียกว่าสามารถแบ่งกันขับได้ ถ้าเกิดเหตุการณ์นี้คะแนนของรถคันนั้นก็จะถูกแบ่งเท่า ๆ กันให้กับนักแข่งทั้ง 2 คน และในฤดูกาลนี้จะยังไม่มีการมอบรางวัล แชมป์โลกทีมผู้สร้าง (World Constructors’ Championship) หรือชื่อเดิมคือ International Cup for Formula One Manufacturers เนื่องจากยังเป็นยุคที่ให้ความสำคัญกับนักแข่งเป็นหลัก ยังมีนักแข่งอิสระเป็นจำนวนมากที่ซื้อรถจากผู้ผลิตมาลงแข่งเอง และระบบทีมโรงงานยังไม่แข็งแกร่งเท่าปัจจุบัน โดยรางวัลนี้จะถูกมอบครั้งแรกในฤดูกาลปี 1958 เป็นต้นไป

Image Source from: F1

ผู้ที่ได้แชมป์โลกในฤดูกาล 1950 ได้แก่ Giuseppe Farina จากอิตาลี / ทีม Alfa-Romeo ด้วยคะแนน 30 แต้มจาก 6 สนาม ในส่วนของพระองค์เจ้าพีระจบที่อันดับ 8 ด้วยคะแนน 5 แต้มจาก 4 สนาม

เขียนมาขนาดนี้ยังเดินทางมาถึงแค่ ค.ศ.1950 แต่จะศึกษาทั้งทีเราต้องไปให้สุด ดังนั้นเราเลยขอแบ่งเรื่องราวประวัติศาสตร์ของ F1 ออกเป็น 2 พาร์ท เพื่อความครบถ้วนในเรื่องราวและข้อมูล สำหรับเนื้อหาใน Part 2 จะเริ่มเล่าตั้งแต่ช่วงหลังจบฤดูกาล 1950 มาจนถึงปัจจุบัน ที่มีการการพัฒนาและเปลี่ยนแปลงอย่างเห็นได้ชัด สำหรับใครที่ชื่นชอบ F1 และอยากรู้เจาะลึกไปถึงที่มาที่ไป หวังว่าบทความนี้จะมีประโยชน์ต่อทุกคน แล้วพบกันในตอนต่อไปครับ

Share:
On Key

Related Posts

WATCHA GONNA ดู

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • คุกกี้ที่จำเป็น
    Always Active

    ประเภทของคุกกี้มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้ได้อย่างเป็นปกติ และเข้าชมเว็บไซต์ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้

  • คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์

    คุกกี้ประเภทนี้จะทำการเก็บข้อมูลการใช้งานเว็บไซต์ของคุณ เพื่อเป็นประโยชน์ในการวัดผล ปรับปรุง และพัฒนาประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ ถ้าหากท่านไม่ยินยอม ให้เราใช้คุกกี้นี้ เราจะไม่สามารถวัดผล ปรับปรุงและพัฒนาเว็บไซต์ได้

Save