บทบาทของรองเท้าสนีกเกอร์ในโลกภาพยนตร์นั้นมีอยู่หลากหลายด้วยกัน นอกจากจะเป็นหนึ่งในเครื่องแต่งกายขั้นพื้นฐานที่เหล่าสไตลิสต์ นำมาแต่งองค์ทรงเครื่องให้กับตัวละครในแต่ละบทบาทให้เข้ากับชุดของพวกเขา รองเท้าสนีกเกอร์อาจรับบทบาทในการเป็นแกนในการดำเนินเรื่องบนโลกภาพยนตร์ ซึ่งภาพยนตร์ที่ทาง Soul4street จะมาแนะนำให้ทุกท่านได้รู้จักกันในวันนี้ คือภาพยนตร์เรื่อง KICKS (2016) หนึ่งในภาพยนตร์เกี่ยวกับสนีกเกอร์ที่ดีที่สุดเท่าที่ผู้เขียนเคยรับชมมาในชีวิต !
หนังว่าด้วยเรื่องของ Brandon (รับบทโดย Jahking Guillory) เด็กหนุ่มขี้แพ้ ผู้ไม่มีอะไรดีสักอย่าง แรปก็ไม่เป็น เล่นบาสก็ไม่ได้ (เพราะตัวเล็กเหมือนเด็กประถม เมื่อเทียบกับเพื่อนวัยเดียวกัน) ทำให้เขาเกิดแรงผลักดันขึ้นภายในตัวว่า จะต้องมีสักทางที่เขาจะได้รับการยอมรับ ซึ่งเขาก็ได้ค้นพบว่า ถ้าได้รองเท้าสุดไฮป์ระดับคลาสสิคขึ้นหิ้งอย่าง AIR JORDAN 1 BRED มาครอบครองไว้สักคู่ จะต้องมีคนเหลียวมองเขาบ้างอย่างแน่นอน
Brandon , Albert และ Rico สามเพื่อนรักสุดเฮี้ยว
เขาจึงรวบเงินทั้งหมดที่มีมาซื้อรองเท้าคู่นี้ จากรีเซลเลอร์รองเท้าเจ้าถิ่น Crazy Daryl (รับบทโดย Stanley Cox) ด้วยราคาที่ถูกแสนถูกในตอนนั้น (โคตรเฮง !) และหลังจากที่เขาใส่รองเท้าคู่นี้ ชีวิตเขาก็ดีขึ้นทันตาเห็น เขากลายเป็นคนที่มีความมั่นใจมากขึ้น มีผู้หญิงเข้าหาเขา และเขาเริ่มกลายเป็นความโดดเด่นในรั้วโรงเรียนมัธยม
"เขารุ้สึกว่ารองเท้าคุ่นี้ทำให้ชีวิตของเขาเบิกบาน !?"
Brandon และ Jordan 1 Bred ของเขา
แต่แล้ววันนึง แบรนดอน กลับถูกแก๊งนักเลงเจ้าถิ่นที่นำโดย Flaco (รับบทโดย Kofi Siriboe) แย่งรองเท้าคู่โปรดไปจากเขาในขณะที่เพื่อนๆของเขาได้แต่บอกให้เขาทำใจ แบรนดอนกลับทำสิ่งที่เพื่อนๆของเขาไม่คาดคิด นั่นคือการทวงรองเท้าคู่โปรดของเขากลับคืนมาจากพวกอันธพาล ไม่ว่าจะต้องทำยังไงก็ตาม ! และสองเพื่อนรักของแบรนดอนอย่าง Albert (รับบทโดย Christopher Jordan Wallace) และ Rico (รับบทโดย Christopher Meyer) จึงเข้ามาจมหัวร่วมท้ายด้วยอย่างถอนตัวไม่ขึ้น …
และจากการตามล่ารองเท้าจอร์แดนกลับคืนมาในครั้งนี้ Brandon ก็ได้งัดไม้เด็ดของเขาขึ้นมา นั่นก็คือ ลุง Marlon ญาติฝ่ายแม่ของเขาผู้เป็นแก๊งค์ท้องถิ่น และเคยติดคุกอยู่หลายสิบปีด้วยคดีฆ่าคนตาย …
และการล้างแค้นของ Brandon ก็ได้เริ่มต้นขึ้น อันนำไปสู่การสู่เสียที่ยากจะคาดเดาถึง …
Marlon ลุงของ Brandon ผุ้เคยติดคุกและยังคงเป็นอันธพาลท้องถิ่น
สำหรับภาพรวมของหนัง หนังเรื่องนี้ได้แบ่งไทม์ไลน์ของเรื่องไว้อย่างชัดเจน ด้วยการนำ Soundtrack มาคั่นการตัดต่อเป็น Chapter ไว้ได้อย่างชาญฉลาด ซึ่งสำหรับสาวกฮิปฮอปก็จะต้องรู้สึกมีความสุขกับเพลงประกอบของภาพยนตร์เรื่องนี้ ที่พร้อมเพรียงกันมาด้วยเพลงจากเหล่าศิลปินฝั่งตะวันตกอย่าง Wu Tang Clan , Jay Z , Mac Dre และ 2 Pac ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นศิลปินยอดฮิตในยุคนั้น (ปลาย 90s – ต้น 2000s)
และสิ่งที่จะลืมพูดถึงไปไม่ได้ คือในเรื่องของงานกำกับศิลป์ การที่นำเอารองเท้า AIR JORDAN 1 BRED ไปอยู่ท่ามกลางบรรยากาศของความยากจน ด้วยสีแดงดำที่เด่นชัด ทำให้ภาพยนตร์เรื่องนี้สามารถขับพลังของ "การได้รับความยอมรับ" จากเหล่าคนผิวสีชนชั้นล่างได้อย่างชัดเจน ไม่ว่าการสวมใส่ BRED เพื่อเล่นบาสที่สนามบาสเก่า ๆ ข้างถนน หรือซีนที่ตัวเอกพยายามซ่อนความเคอะเขินของตนจากคนที่ใส่ BRED เหมือนกันบนรถไฟฟ้า (ซึ่งเป็นงานที่ใช้ Main Props ชิ้นนี้มาขับพลังการสื่อสารความหมาย) ก็สามารถทำได้สมบูรณ์แบบ เพราะมันยิ่งตบความดาร์คของความไฮป์ในโลกสนีกเกอร์เฮดไปเลยว่า ไอ้นี่รองเท้าแพงอย่างเดียวเท่านั้นแหละ และทำให้คำพูดของ Crazy Daryl เกิดผลลัพธ์ที่ตามมาอย่างรุนแรง นั่นคือคำพูดที่ว่า …
"This shoes worth more than your life ."
(แปลเป็นไทยคือ รองเท้าคู่นี้มีค่ามากกว่าชีวิตมึงซะอีก …)
และถ้าให้พูดในฐานะชาวสนีกเกอร์เฮดคนหนึ่ง รองเท้าใครใครก็รัก ยิ่งโดนขโมยไปแบบอุกอาจและหยามเกียรติกันขนาดนี้ ก็ย่อมของขึ้นเป็นธรรมดา
แต่สิ่งที่ภาพยนตร์นำประเด็นนี้มาเล่นได้อย่างน่าสนใจคือ การทวงคืนของรัก ที่เป็นภาพตัวแทนของ "การมีอยู่ในสังคมของ Brandon" มากกว่ารองเท้าจอร์แดนคู่หนึ่งเท่านั้นเพราะนิยามคำว่า"ไฮป์"เกิดขึ้นได้จากการมีในสิ่งที่คนอื่นไม่มี และเมื่อมีรองเท้าคู่นี้ชีวิตเขาก็รับการยอมรับมากขึ้น แต่เมื่อมันถูกขโมยไป "ตัวตน" ของเขาก็เหมือนถูกขโมยไปด้วยเช่นกัน อีกทั้งในเรื่องของความเป็นความตายในวังวนของแก๊งค์คนดำ ที่เกิดขึ้นได้ง่ายแค่ปลายไกปืน รวมไปถึงความทะเยอทะยานที่แสดงให้เห็นด้านดีของ Flaco หัวหน้าแก๊งค์ที่ขโมยรองเท้าไป ว่าเขาก็มีด้านดี ๆ อยู่ในตัวเช่นกัน นั่นคือความรักลูก และยกรองเท้าที่ขโมยมาคู่นั้นให้ลูกชายของเขาใส่
Flaco และลูกชายของเขา J
เมื่อเดินทางมาถึงจุดคลี่คลายของหนัง ก็ถือได้ว่าสะเทือนใจและสามารถจุดประกายความเป็นภาพยนตร์แนว Coming of age ได้อย่างงดงาม เพราะตอนจบของหนังคือการที่ตัวเอกได้รับ "บทเรียนสำคัญ" ของการทวงคืนรองเท้าสุดไฮป์กลับมาในครั้งนี้ และเขาก็พบว่าตัวเขาไม่ใช่คนเดิมอีกต่อไป และสามารถสะท้อนความงามของโลกรองเท้าผ่านความละโมบของมนุษย์ได้อย่างแยบยลไร้ที่ติ
ก็คิดดูว่าตัวตนของเราขึ้นอยุ่กับรองเท้า หรือรองเท้าแสดงความเป็นตัวตนของเราในทุกวันนี้ ?
และเตรียมพบกับนิทรรศการ Sneaker in film อีกมากมายได้ภายในงาน Sneaker ที่ The Street Ratchada ได้ตั้งแต่วันที่ 29 มีนาคม – 2 เมษายนเป็นต้นไป ติดตามกันไว้ให้ดี !