แน่นอนว่าสนีกเกอร์รุ่นหนึ่งที่ถือว่าได้สร้าง "วัฒนธรรมสนีกเกอร์" ได้เป็นประวัติการณ์ต่อเหล่ามนุษย์สนีกเกอร์เฮดรุ่นหนึ่งเห็นจะหนีไม่พ้น "Nike Mag" ซึ่งสวมใส่โดย Michael J.Fox ในภาพยนตร์เรื่อง Back To The Future II แน่นอนว่ารูปทรงข้อสูง แถบเรืองแสง และระบบผูกเชือกอัตโนมัติควบคู่กับดีไซน์ล้ำสมัยอันเป็นภาพสะท้อนของ "รองเท้าแห่งโลกอนาคตในปี 2015" ซึ่งในขณะที่รองเท้าคู่นี้ได้ยลโฉมสู่สายตาประชาชนครั้งแรกนั้นคือในปี 1989 ออกแบบโดย Tinker Hatfield และกินเวลากว่า 27 ปีที่ Nike จะสามารถผลิตรองเท้าที่ตรงตามคุณสมบัติที่กล่าวไว้ข้างต้นให้เหมือนกับที่อุปมาขึ้นไว้บนโลกของแผ่นฟิล์ม
เป็นการเดินทางที่ยาวนานพอสมควรสำหรับประวัติศาสตร์ของรองเท้าคู่นี้ กว่าสามทศวรรษที่ Tinker Hatfield ได้ทิ้งไอเดียของเขาไว้บนโลกใบนี้ ทว่าในวันนี้สิ่งที่เขาจินตนาการและใฝ่ฝันเอาไว้ได้กลายเป็นจริงแล้ว เราจะพาทุกท่านไปย้อนรอยอดีตสู่โลกอนาคตกับรองเท้าในตำนานคู่นี้
CHAPTER 1 : การปรากฏตัวครั้งแรกในภาพยนตร์ "Back To The Future II"
Michael J. Fox รับบท "มาร์ตี้ แม็คฟลาย" เด็กหนุ่มวัยรุ่นที่พบปะกับนักวิทยาศาสตร์สติเฟื่องจนนำไปสู่เหตุการณ์สุดวายป่วงด้วยเครื่องย้อนเวลาของเขา
ปรากฏตัวขึ้นครั้งแรกในฉากที่ มาร์ตี้ แม็คฟลาย ( รับบทโดย Michael J.Fox ) ตัวเอกต้องสวมใส่รองเท้าคู่นี้เพื่อปรับตัวให้กลมกลืนเข้ากับโลกในยุคปัจจุบัน สืบเนื่องจากการย้อนเวลาของเขาที่ดันจับพลัดจับผลูเดินทางข้ามเวลาไปสู่โลกอนาคตในปี 2015 (ซึ่งรองเท้าคู่นี้คือเวอร์ชั่นพัฒนาของ Nike Bruins ที่เขาสวมใส่ในตอนแรก)
Nike Bruins ที่ถูกสวมใส่ในโลกปัจจุบันของ มาร์ตี้ แม็คฟลาย ในตอนแรก (ขอบคุณภาพจาก yourprops.com)
แน่นอนว่าถึงแม้ภาพยนตร์อาจเป็นเพียงมหรสพความบันเทิงของคนกลุ่มหนึ่ง และภาพยนตร์สำหรับบางคนอาจจบลงแค่ที่เอ็นด์เครดิตของผู้สร้างแล้วกลับมาใช้ชีวิตต่อในโลกของความเป็นจริง กระนั้นแล้วก็ยังมีบุคคลกลุ่มหนึ่งที่เรียกตนเองว่า "สนีกเกอร์เฮด" ที่ไม่หยุดหย่อนเฝ้ารอที่จะไขว่คว้ารองเท้าคู่นี้มาไว้ในครอบครอง ถึงแม้เทคโนโลยีในยุคนั้นการมีรองเท้าที่ฟังก์ชั่นล้ำสมัยขนาดนี้เป็นแค่เรื่องของ ฝันเพ้อเจ้อและจินตนาการ
CHAPTER 2 : วาดวิมานบนพื้นดิน
ภาพพิมพ์เขียวของโครงการพัฒนาระบบ "auto-lacing" ของทาง Nike ที่ยังไม่สมบูรณ์แบบในช่วงปีแรก (ปี 2008 โดยประมาณ)
จุดเริ่มต้นของการพัฒนา "Nike Mag" อย่างจริงจังเริ่มต้นในปี 2008 เมื่อข้อมูลโครงการการออกแบบเทคโนโลยี "auto-lacing" (ระบบผูกเชือกอัตโนมัติ) ได้ถูกเผยแพร่เป็นครั้งแรกต่อสาธารณชน ซึ่งชื่อของ Tinker Hatfield ก็ปรากฏอยู่ในผู้ร่วมพัฒนาโครงการนี้ด้วยเช่นกันกับชื่อของ Tiffany Beers นักพัฒนารองเท้าสนีกเกอร์ชื่อดังจากค่าย Nike ผู้สืบสานความฝันวาดวิมานในอากาศของ Tinker Hatfield ให้กลายเป็นความจริง
CHAPTER 3 : ครั้งแรกที่โลดแล่นอยู่บนโลกแห่งความจริง (แต่ …!?)
ครั้งแรกที่ Nike Mag ได้เปิดโอกาสให้สาธารณชนได้ครอบครองภายใต้โครงการในการสมทบทุนเพื่อช่วยเหลือมูลนิธิของ Michael J.Fox ในปี 2011
เนื่องจากตัวของเขาเองได้ป่วยเป็นโรคพาร์คิสัน จึงต้องการที่จะช่วยเหลือทุนในด้านงานวิจัยเกี่ยวกับโรคนี้ รายได้จากการประมูลถูกมอบให้แก่มูลนิธิทั้งหมด
ครั้งแรกที่สาธารณชนได้มีโอกาสสัมผัส "รองเท้าแห่งโลกอนาคต" อย่างแท้จริง แต่การเปิดตัวครั้งนี้ก็ไม่ได้ "ครบเครื่อง" เสียขนาดนั้น เนื่องจากว่าเจ้าโมเดลรุ่นแรกของ Nike Mag ตัวนี้ "ไม่มีระบบผูกเชือกอัตโนมัติ" ฟังก์ชั่นสุดเทพที่เหล่าสาวกได้คาดหวังกันเอาไว้ แต่ถึงอย่างไรก็ตามแค่เพียงรูปลักษณ์ภายนอกที่ถอดแบบมาจากในภาพยนตร์และแถบเรืองแสงต่าง ๆ ก็ส่งผลให้ราคารีเซลของรองเท้ารุ่นนี้พุ่งไปแตะหลัก 2-3 แสนบาทได้อย่างสบายๆ เรียกได้ว่ามีแสงใต้เท้าเลเวล 99 เพียงเท่านี้ก็น่าพึงพอใจแล้ว ณ เวลานั้น
CHAPTER 4 : นี่คือปี 2015
Michael J.Fox กับ Nike Mag ที่มาพร้อมกับระบบผูกเชือกอัตโนมัติในปี 2015
ในภาพยนตร์เรื่อง Back To The Future II นั้น เวลาที่ถูกเซ็ทไว้ในเรื่องตอนที่ตัวเอกได้ถูกส่งข้ามเวลาไปสู่โลกอนาคตนั้นคือวันที่ 21 ตุลาคม 2015 แน่นอนว่าทาง Nike ก็ใจจดใจจ่อที่จะปล่อยหมัดเด็ดออกมาในวันนั้น (เช่นเดียวกับข่าวลือหน้าหูและเหล่าสาวกที่เฝ้ารอรองเท้าคู่นี้กันอย่างใจจดใจจ่อ) แต่แน่นอนว่าทั้งหมดนั้นเป็นเพียงอุบาย เมื่อตัว Michael J.Fox ได้เปิดเผยรองเท้าสนีกเกอร์รุ่นนี้ผ่านรายการ Jimmy Kimmel Live !
แน่นอนว่าวันวานยังหวานอยู่ หลังจากการเปิดเผยครั้งนี้นอกจากจะทำให้เหล่าสาวกต้องร้องว้าว ! ไปกับความน่าหลงใหลของรองเท้าคู่นี้แล้วนั้น ด้วยสุขภาพที่ไม่ค่อยสู้ดีนักของ Michael J. Fox ป่วยด้วยโรคพาร์คินสันและต่อสู้กับโรคนี้มาหลายสิบปี การที่รองเท้าแห่งโลกอนาคตได้เดินทางย้อนเวลากลับมาสู่ปัจจุบันให้พวกเขาได้เห็นพร้อมๆกับตัวละครในภาพยนตร์ที่พวกเขารัก ช่างเป็นภาพที่น่าจดจำ
ซึ่งแน่นอนมาจนถึงวันนี้ในปี 2016 อีกไม่กี่วันทาง Nike ก็จะเปิดโอกาสให้ทุกคนได้มีโอกาสซื้อล็อตโต้ชิงโชคในการซื้อ Nike Mag 2016 ที่มาพร้อมกับระบบผูกเชือกอัตโนมัติ โดยในครั้งนี้ทาง Nike ได้ผลิตออกมาเพียง 89 คู่เท่านั้น (เลข 89 มาจากการฉายภาพยนตร์เรื่อง Back To The Future II ครั้งแรกในปี 1989 ) ซึ่งคุณก็จะมีโอกาสนี้เพียงแค่คุณบริจาคเงินเข้าสู่มูลนิธิ Michael J.Fox ด้วยจำนวนเงินเพียง 10$ (ประมาณ 300 บาทไทย) รองเท้าจะมีเพียงไซส์ 7,9,11 และ 13 US เท่านั้น และหมดเขตชิงโชควันที่ 11 ตุลาคม 2016 นี้
ไม่แน่ตัวคุณในอนาคตอาจย้อนเวลามาหาคุณในช่วงเวลานี้ เพื่อบอกให้คุณซื้อตั๋วชิงโชคนี้ก็ได้ ใครเล่าจะรู้ !?