ปี 2025 เป็นปีที่วงการมวยปล้ำเปลี่ยนแปลงอย่างก้าวกระโดด เราได้เห็น WWE ร่วมมือกับสมาคมคู่แข่งอย่าง TNA ตลอดจนการเข้าไปถือหุ้นใหญ่ (51%) ของสมาคม Lucha Libre AAA Worldwide จนเกิดการแลกเปลี่ยนนักมวยปล้ำครั้งใหญ่ชนิดที่กล่าวได้ว่าหากย้อนกลับไปประมาณ 3 ปีก่อน ภาพเหล่านี้คงดูเป็นเรื่องเพ้อฝันที่ไม่มีวันเป็นจริง
ความร่วมมือดังกล่าวแม้ไม่ได้อยู่ในลักษณะของการเข้าซื้อกิจการแบบเด็ดขาดเหมือนในปี 2001 ที่ WWE ซื้อ WCW แต่ภายใต้ความร่วมมือ (Collaboration) ที่ว่า ก็ดูจะมีแง่มุมที่น่าสนใจหลายอย่าง เพราะแม้จะช่วยให้ทั้ง TNA และ AAA มีฐานผู้ชมมากขึ้น แต่สิ่งที่ต้องแลกก็คือตัวตนบางอย่าง (Brand Identities) เพราะ WWE เลือกใส่ความเป็นตัวเองเข้าไปมากกว่าเคารพวัฒนธรรมดั้งเดิมของสมาคมอื่น
กลยุทธ์ลักษณะนี้เป็นเรื่องถูกต้องหรือไม่ มีอะไรสำคัญไปกว่าเม็ดเงินและธุรกิจหรือเปล่า ? หาคำตอบได้ที่นี่
บทเรียนจากอดีต : การล่มสลายของมวยปล้ำแบบภูมิภาค (Territories System)
หากถามว่าจุดเปลี่ยนสำคัญของวงการมวยปล้ำอาชีพเกิดขึ้นเมื่อใด คำตอบที่ชัดเจนที่สุดก็คือการเข้าซื้อกิจการของ WWF ต่อจากคุณพ่อโดย Vince McMahon ในปีค.ศ.1982 ซึ่งวงการมวยปล้ำในขณะนั้นมีสมาคมอยู่เยอะมากกระจายตัวไปทั่วสหรัฐอเมริกา สมาคมเหล่านี้จัดโชว์ของตนเอง มีซุปเปอร์สตาร์ของตนเอง มีรายการท้องถิ่นของตนเอง และมีการแลกเปลี่ยนนักมวยปล้ำเป็นระยะภายใต้การกำกับดูแลของสมาพันธ์มวยปล้ำแห่งชาติ (NWA – National Wrestling Alliance)
อย่างไรก็ตามเมื่อวินซ์เข้ามาบริหาร WWF เต็มตัวแล้ว เขามีเป้าหมายว่าจะต้องยกระดับมวยปล้ำให้กลายเป็นกีฬาที่เข้าถึงคนวงกว้างยิ่งขึ้น (Mass Product) ต้องมีนักมวยปล้ำระดับซุปเปอร์สตาร์มารวมกัน และต้องมีระบบอีกหลายอย่างที่แตกต่างจากมวยปล้ำท้องถิ่นแบบเดิม เขาจึงเริ่มจัดโชว์ชนกับสมาคมท้องถิ่นเพื่อตัดกำลง เริ่มเซ็นสัญญากับนักมวยปล้ำของแต่ละสมาคมเข้ามาในแบบ Exclusive Contract ไม่อนุญาตให้ขึ้นปล้ำกับสมาคมอื่นหากไม่ได้รับการยินยอม แนวคิดนี้ทำให้สมาคมมวยปล้ำท้องถิ่นเสียตัวชูโรง แต่ก็ช่วยให้ WWF เติบโตขึ้นอย่างก้าวกระโดด
ตัวอย่างการดึงตัวครั้งสำคัญเช่นการเซ็นสัญญากับ Hulk Hogan ในปีค.ศ. 1983 จากสมาคม AWA โดย Greg Gagne ลูกชายของ Verne Gagne เจ้าของ AWA ให้สัมภาษณ์ว่า “โฮแกนแยกกับ AWA ไม่ดีนักหลังเพราะวินซ์ขอให้เขาทิ้งสมาคม (Walk Out) ทันทีหลังเซ็นกับ WWF ทำให้ AWA เสียหายหนักมากเพราะมีตารางขึ้นปล้ำรออยู่มากมาย ที่สำคัญเขายังชวนนักมวยปล้ำและทีมงานคนอื่น ๆ ไปด้วย” ประเด็นนี้แม้จะมีการโต้แย้งว่าเป็นทาง AWA เองหรือเปล่าที่ไม่สามารถยื่นข้อเสนอที่ดีพอให้โฮแกนอยู่กับสมาคมต่อ แต่การเข้ามาแทรกแซงกลางคันก็ทำให้ WWF ถูกมองว่า “ขโมย” นักมวยปล้ำแบบซึ่งหน้าอยู่ดี
Black Saturday: เงินคืออาวุธที่ทรงพลังที่สุด
WWF ทำการตลาดในช่วงนั้นด้วยการ “ซื้อ ตัดกำลัง และทำให้เป็นของตนเอง” โดยมีเป้าหมายเพื่อรวมศูนย์ (Centralize) และเป็นผู้เล่นเดี่ยวของวงการ (Monopoly) เช่นการซื้อสมาคม Stampede Wrestling ที่มี Stu Hart เป็นเจ้าของในปี 1984 แต่เลือกนักมวยปล้ำมาใช้ใน WWF เพียง 3 คนจากทั้งหมด ได้แก่ Bret Hart, The Dynamite Kid และ Davey Boy Smith (The British Bulldog) แต่จุดที่พีคที่สุดคือเหตุการณ์ที่เรียกว่า Black Saturday ในวันที่ 14 กรกฏาคม 1984
เหตุการณ์นี้คืออะไร ?
ต้องอธิบายก่อนว่าในขณะนั้นวงการมวยปล้ำสหรัฐอเมริกามีสมาคมที่ได้สิทธิ์ออกอากาศในช่องระดับประเทศอยู่ 2 สมาคม ได้แก่ Southwest Championship Wrestling ทางช่อง USA Network และ Georgia Championship Wrestling ทางช่อง Superstation WTBS (TBS ในปัจจุบัน) โดยในปี 1983 ทาง WWF ได้เข้าซื้อเวลาออกอากาศในช่วงเช้าวันอาทิตย์ของ Southwest Championship Wrestling เพื่อเอารายการ All American Wrestling ของสมาคมไปแทน และประสบความสำเร็จจนเกิดอีกรายการบน USA Network คือรายการ Tuesday Night Titans ในคืนวันอังคาร ความสำเร็จดังกล่าวทำให้ WWF มีเป้าหมายว่าจะต้องผูกขาดมวยปล้ำบนหน้าจอเพียงผู้เดียว เมื่อคิดได้แบบนี้ พวกเขาจึงติดต่อหา Ted Turner เจ้าของช่อง WTBS เพื่อขอซื้อเวลาในคืนวันเสาร์ของ GCW แต่ก็โดนปฏิเสธทันที
การปฏิเสธนี้ส่งผลต่อวงการมวยปล้ำมาก โดยสาเหตุหลักที่การเจรจาไม่ลงตัวนอกเหนือจากเรื่องการผูกขาดแล้ว ฐานผู้ชมของ GCW และช่อง WTBS คือคนที่ดูมวยปล้ำในฐานะกีฬาจริง ๆ ต่างจากแนวทางของ WWF ที่เน้นความบันเทิงและคาแรกเตอร์ที่ดูเหนือจริง (Cartoonish) แต่แทนที่ WWF จะล้มเลิก Vince McMahon กลับใช้วิธีที่ต่างออกไป คือ “หากเจ้าของช่องไม่ให้ซื้อเวลา ก็ซื้อสมาคมไปเลยสิ” นี่คือกลยุทธ์ที่ Ted Turner คาดไม่ถึง แต่เมื่อมันเกิดขึ้นแล้ว หนึ่งในข้อแม้ที่ช่องมีให้กับ WWF ก็คือการแข่งขันทั้งหมดจะต้องเกิดขึ้นที่ WTBS Studios และต้องเป็นรายการออริจินัลที่ฉายเฉพาะทาง WTBS เท่านั้น
ทว่า WWF มีแผนที่ใหญ่กว่านั้น เพราะแค่การออกอากาศวันแรก Vince McMahon กลับใช้วิธีรวมไฮไลท์จากรายการที่ถ่ายทอดทาง USA Network และฉายภาพจากการทัวร์ในสนามใหญ่ ๆ ทั่วประเทศเพื่อแสดงศักยภาพของสมาคมแทนเสียอย่างนั้น ซึ่งแน่นอนว่าเรตติ้งได้แย่มากเพราะขัดกับความต้องการของผู้ชม ถึงขนาดมีจดหมายกว่าพันฉบับที่ตั้งคำถามว่ารายการ GCW เดิมหายไปไหน จนในที่สุดเจ้าของช่องอย่าง Ted Turner ทนไม่ไหว จึงร่วมลงทุนกับ Mid-South Wrestling จากรัฐโอคลาโอม่า และ Championship Wrestling from Georgia ที่ NWA สร้างขึ้นมาทดแทน GCW โดยเหตุการณ์นี้ได้พัฒนาไปสู่การถือกำเนิดของ World Championship Wrestling (WCW) คู่ปรับสำคัญของ WWF ในยุค 90 กับสงคราม ‘Monday Night War’ เรียกว่าแผนผูกขาดของ WWF ได้ก่อให้เกิดคู่แข่งขึ้นมาแทนเสียอย่างนั้น
ปัจจุบัน: การกลืนกินในรูปแบบของความร่วมมือ
แม้การแข่งขันจะเข้มข้นในยุค 90 แต่แฟนมวยปล้ำต่างรู้ดีว่าในที่สุด WWF ก็คือผู้ชนะ และกลับมาผูกขาดมวยปล้ำอีกครั้งในปี 2001 หลังเข้าซื้อ WCW และ ECW โดย Triple H อดีตนักมวยปล้ำและผู้บริหารของ WWE ในปัจจุบันกล่าวว่าช่วงที่สมาคมผูกขาดมวยปล้ำอยู่นั้น ปัญหาหลักคือเรื่องการผลักดันนักมวยปล้ำหน้าใหม่ เพราะเมื่อไม่มีค่ายคู่แข่งในสเกลเท่ากัน, ไม่มีค่ายระดับท้องถิ่นให้นักมวยปล้ำสื่อสารกับผู้ชมในสนามจริง นักมวยปล้ำที่ได้ก็มีทักษะไม่เพียงพอ ปัญหานี้นำไปสู่การสร้างศูนย์ฝึกแบบครบวงจรหรือ Performance Center ที่ยกระดับการพัฒนาทักษะของสมาคมให้ดีขึ้น กล่าวคือ WWE ก็เรียนรู้และพยายามปิดจุดอ่อนของตนเองเช่นกัน
แต่สิ่งสำคัญที่ต้องพูดถึงในครั้งนี้ คือ WWE เองก็ได้เจอกับสถานการณ์ไม่ต่างจากที่ทำกับ TNA และ AAA กล่าวคือหลังจากที่ TKO บริษัทซึ่งเป็นเจ้าของ UFC เข้ามาถือหุ้นใหญ่ต่อจาก Vince McMahon และทำให้สมาคมเติบโตอย่างก้าวกระโดด มีสถานะการเงินมั่นคงขึ้น แต่แฟนมวยปล้ำล้วนเห็นตรงกันว่าค่านิยม (Value) ดั้งเดิมของมวยปล้ำที่พวกเขารู้จักกำลังเปลี่ยนไป เช่นการติดป้ายสปอนเซอร์ในทุกจุดที่เป็นไปได้ ไม่สอดคล้องกับวัฒนธรรมดั้งเดิม ไล่ตั้งแต่กลางเวทีอันเป็นดั่งพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์ เรื่อยไปจนถึงอาวุธต่าง ๆ ที่ดูแปลกประหลาด เช่นการติดโลโก้แบรนด์ขนมบนโต๊ะที่ใช้เป็นอาวุธจนทำให้การแข่งขันดูเป็นเรื่องเล่น ๆ ดังนั้นเราจึงควรหันกลับมามองว่า “นี่คือการแลกเปลี่ยนที่คุ้มค่าหรือเปล่า ?”
ในด้านของ TNA ที่ร่วมมือกับ WWE ตอนนี้ แม้ศึกใหญ่ในเดือนกรกฎาคมอย่าง Slammiversary จะมียอดผู้ชมที่สนามในสหรัฐอเมริกาสูงที่สุดในประวัติศาสตร์ถึง 7,024 คน แถมยังมีนักมวยปล้ำ TNA เข้าร่วมในรายการใหญ่อย่าง Royal Rumble และ WrestleMania แต่หากเรามองให้ลึกลงไปก็จะพบว่า WWE ดูได้เปรียบในข้อตกลงนี้อย่างเห็นได้ชัด ทั้งการที่นักมวยปล้ำของ NXT (ค่ายพัฒนาทักษะ) ได้เป็นแชมป์โลกของ TNA และการปรากฏตัวของนักมวยปล้ำ TNA ส่วนใหญ่ก็ออกมาในฐานะทางผ่าน หรือบางคนที่ทำผลงานได้ดี ก็กลับมีสถานะเหมือนอยู่ในช่วงทดลองงาน (Try Out) ให้ WWE ได้ทดลองใช้งานจริง และเลือกเซ็นเข้าสมาคมหลังหมดสัญญากับ TNA มากกว่า
ด้าน AAA ก็ไม่ต่างกัน โชว์ใหญ่ของสมาคมอย่าง TripleMania XXXIII สามารถทำยอดผู้ชมสูงเป็นประวัติการณ์ที่ 19,691 คน แต่คู่เอกในคืนนั้นกลับจบลงด้วยเสียโห่ลั่นสนามเพราะทนไม่ได้ที่ WWE เข้ามาแทรกแซงเรื่องราวที่ปูกันนานข้ามปีเพียงเพราะอยากได้แชมป์คนใหม่ที่พวกเขาเลือกมากกว่า แน่นอนว่าการที่โชว์มีนักมวยปล้ำของ WWE เข้าร่วมจะมีผู้ชมหน้าใหม่เข้ามา แต่มันคุ้มค่าหรือไม่ที่รายได้จำนวนมากต้องแลกมาด้วยศรัทธาของผู้ชมที่อยู่กับคุณมาตั้งแต่ต้น นี่คือความคิดที่อยู่ในใจของแฟนมวยปล้ำ พวกเขาต่างกังวลว่าหากธุรกิจอยู่เหนือวัฒนธรรม (Tradition) วันนั้น “เสน่ห์” ของมวยปล้ำอาชีพอาจเลือนหายไปจริง ๆ
บทสรุป
บริษัทที่ปรึกษาด้านธุรกิจระดับโลกอย่าง Bain and Company ได้ทำแบบสำรวจในปี 2024 กับ 400 องค์กรชั้นนำและพบว่าการเปลี่ยนแปลงทางธุรกิจ (Business Transformation) ในปัจจุบัน 88% ล้มเหลว โดยมีสาเหตุหลักจากการให้ความสำคัญกับคนเก่ง (Top Talent) มากเกินไป (กล่าวคือคนเก่งนั้นอาจเป็นคนที่เพิ่งเซ็นสัญญาเข้ามาจากที่อื่นก็ได้) จนลืมพัฒนา (Develop) บุคลากรเดิม แถมยังละเลยเรื่องการรักษาบุคลากร (Retention) ให้เห็นถึงคุณค่าและความจำเป็นที่ต้องอยู่กับองค์กรต่อไป
สถานการณ์นี้ใกล้เคียงกับสิ่งที่เกิดขึ้นกับ WWE เพราะพวกเขาทำให้ TNA กลายเป็นค่ายรองโดยสมบูรณ์แลกกับชื่อเสียงและการมองเห็น (Exposure) เพียงนิดหน่อย แต่ไม่มีใครตอบได้ว่าเมื่อมีคนมาดูโชว์ของ TNA มากขึ้นเพราะอยากเจอนักมวยปล้ำของ WWE สมาคมจะเป็นอย่างไรต่อในอนาคตเมื่อสัญญาร่วมงานจบสิ้น และอะไรจะเป็นสิ่งรั้งให้นักมวยปล้ำของ TNA มองว่าสมาคมของตนพิเศษ เมื่อพวกเขามีโอกาสเข้าร่วม และได้กลายเป็นคนพิเศษของสมาคมที่ใหญ่กว่าไปแล้ว ?
การกลืนกินคู่แข่งเพื่อผลประโยชน์จึงเป็นวิธีทำธุรกิจแบบ “ปลาใหญ่กินปลาเล็ก” ที่คงจะเกิดซ้ำไปเรื่อย ๆ ตราบใดที่เหล่าปลาเล็กเสนอตัวและพร้อมเป็นเหยื่อเสียเอง