ว่ากันถึงเดือนแห่งวันวาเลนไทน์นี้ ก็คงจะหนีไม่พ้นเรื่องราวของความรัก ครั้งนี้ Staff Selected จะขอพาทุกคนมาล่วงรู้ความลับของชาว S4S ไปด้วยกันว่าภายใต้ความแอคอาร์ตนั้น พวกเค้าได้ซ่อนหนังรักจั๊กจี้หัวใจเรื่องไหนเอาไว้บ้าง
About Time (2013)

“ถ้าเราย้อนเวลากลับไปได้” เป็นสิ่งที่เรามักจะคิด เมื่อเราทำอะไรผิดพลาดจนอยากย้อนเวลากลับไปแก้ไข โดยเฉพาะเรื่องความรัก บอกเล่าถึงตัวเอกที่ย้อนเวลาได้ เป็นหนังอีกเรื่องที่ครบรส บอกเล่าเรื่องการเติบโต ความรัก ชีวิต และครอบครัว ยิ่งฉากที่พระเอกย้อนกลับ ไปหาพ่อเป็นครั้งสุดท้ายนะ ใครเคยดูรับรองน้ำตาแตก กับฉากนี้แน่นอน

Akkhakit Phongrujirak (Win)
Content Creator
Lost in Translation (2003)

“หลง/รัก/เหงา” ชื่อเวอร์ชันไทยของภาพยนตร์เรื่องนี้ สามารถบรรยายถึงมวลอารมณ์ของภายนตร์ได้เป็นอย่างดี การเล่าเรื่องในเมืองโตเกียว ยิ่งทำให้เรารู้สึกและอินกับ เรื่องนี้ไปโดยปริยาย (สำหรับเราเรื่องนี้เป็นภาพจำของ โตเกียวในวัยเด็กเลยทีเดียว) เป็นเรื่องที่เมื่อย้อนกลับมาดู เมื่อไหร่ เราจะรู้สึก เข้าใจ และตีความแตกต่างออกไป ตามระยะเวลา(อายุ…)และประสบการณ์ชีวิตที่ผ่านมา เลยอยากชวนทุกคนไปซ้ำกันอีกรอบ

Tanatorn Thitipipatchai (Bright)
Content Creator
HER (2013)

ในช่วงเวลาที่หัวใจแตกสลาย พวกเราต่างต้องการอะไรก็ได้ เข้ามาเติมเต็ม Setting ในปี 2025 ที่หนังกำลังถ่ายทอด ได้ซ้อนทับกับโลกปัจจุบันอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ อยากให้ทุกคน ได้กลับไปลองเสพหนังเรื่องนี้อีกสักรอบ รับรองว่า เยี่ยวราดน่องกันอย่างแน่นอน

Thossaporn Chaiwarin (Noun)
Graphic Designer
One day (2011)

ตัวหนังจะพูดถึงความสัมพันธ์ของเพื่อนสนิท 2 คนที่มักจะ วนเวียนอยู่ในชีวิตของกันและกัน มีความรัก ความสัมพันธ์ที่ คลุมเคลือ อีกทั้งยังเล่าถึงชีวิตที่แม้จะไม่เป็นไปอย่างตอนเด็ก ที่เราฝันไว้ เราก็ยังรักและพยายามทำให้มันดีที่สุด
แต่ชีวิตคนเรามักมีความไม่แน่นอน ทุกอย่างเกิดขึ้นได้ มีความสุข ความหวัง มีเศร้า มีความผิดพลาดได้ แต่ทุกอย่าง อยู่กับเราไม่นาน ทุก ๆ อย่างจะสอนให้เราเติบโต มีสติ และรัก ในทุก ๆ วัน ที่เรามีอยู่ และวันหนึ่งเราก็จะเดินหน้าต่อไปได้

Thanaporn Nithakorn (Yok)
Producer
The Princess Diaries 2: Royal Engagement (2004)

เป็นหนังภาคต่อที่ตัวหลักโตขึ้นจากภาคแรกโดยมีคอนดิชั่นว่า เจ้าหญิงต้องแต่งงานเพื่อรับตำแหน่งได้ ซึ่งระหว่างทางมี ความสนุก และเหตุการณ์มากมายที่เกิดขึ้นโดยมีความสัมพันธ์ ระหว่างตัวละครทั้งกับ ครอบครัว เพื่อน คนรัก? บทสรุปแล้ว ตัวละครก็ทำให้ทุกคนมั่นใจ และสามารถรับตำแหน่งได้ในที่สุด
การที่ตัวเองได้พัฒนาตัวเองทำให้ได้รับความไว้วางใจ และเชื่อในหัวใจตัวเองโดยไม่ให้กฎของสังคมมาทำให้เสีย ความเป็นตัวเองไปสะท้อนถึงการรัก และเชื่อมั่นในตัวเอง และการเติบโตเหมือน ๆ กับชีวิตของทุก ๆ คน

Veeradha Amornpitakpunt (Prim)
Account Executive
The Curious Case of Benjamin Button (2008)

หนังเรื่องนี้ทำให้เราค้นพบว่า ชีวิตกับความรัก คล้ายคลึงหรือ เหมือนเรื่องราวเดียวกัน คือมันควรอยู่ในจังหวะที่เหมาะสม เส้นที่มาตัดกันพอดีของเหตุการณ์ ความพร้อมของตัวละคร แต่ละตัว ช่วงเวลาของการพบเจอ และการจากลา มันมีความหมาย รวมถึงวิธีการเล่าเรื่องของหนัง Setting ที่เต็มไปด้วยชีวิตชีวา ความรู้สึก ของผู้คนที่ตัวละครหลักได้เจอ
มันไม่ใช่หนังรักแบบ เธอรักฉัน ฉันรักเธอ เรารักกัน แต่มัน โรแมนติกผ่านตลอดชีวิตของตัวละคร Benjamin Button โคตรดีย์…

Natthanan Chamnongwet (Eye)
Project Manager
Love Me If You Dare (2003)

เรามันสายเอาชนะอยู่เเล้ว จากเกมส์ที่เล่นกันในวัยเด็กกลายมา เป็นสิ่งที่เลิกไม่ได้ตอนโต ทั้ง ๆ ที่ความรู้สึกมันเปลี่ยนไปจากความ เป็นเพื่อนไปหมดเเล้ว นี่คือหนังรักที่เจ็บคันที่สุด ดูเเล้วมันจี้หัวใจ ไปหมด ช่วงปี 2000 เราได้ดูหนังที่ไม่ใช่หนังใหญ่หนังโรง พวกหนังทางเลือกจากประเทศอื่น ๆ เช่น ฝรั่งเศส เเละญี่ปุ่น เยอะมาก ๆ เรื่องนี้เป็นหนึ่งในเรื่องที่ทำให้เราหลงเสน่ห์ความ ตลกร้ายของหนังฝรั่งเศส ที่หลอกให้เราตายใจนึกว่ากำลัง ดูหนังรอม-คอมธรรมดาๆเรื่องหนึ่ง เเต่พอดูจบมันกลับกลาย เป็นหนังที่ฝังอยู่ในใจไปตลอด

Hataichanok Uttaburanont (Pan)
Project Advisor
แฟนเดย์..แฟนกันแค่วันเดียว (2016)

‘’ถ้าเรามีโอกาสได้เป็นแฟนใครสักวันนึงมันก็คงจะดี’’ ชอบหนังเรื่องนี้เพราะทำให้เห็นภาพของตัวเองในช่วงเวลาหนึ่ง ตัวหนังจะเล่าถึงพนักงานออฟฟิศคนหนึ่ง ได้ตกหลุมรัก เพื่อนร่วมงาน แต่ด้วยทั้งรูปร่างหน้าตาและฐานะทางการงาน ทำให้ตัวเค้านั้นแต่เฝ้ามอง แต่แล้วก็เกิดเหตุการณ์ที่ทำให้ทั้งคู่ ต้องไปเป็นแฟนกัน? อยากให้ทุกๆคนได้ไปดูหนังเรื่องนี้ เพราะหนังอาจจะทำให้เราแสดงความกล้าที่จะรักใครสักคนหนึ่ง

Supasin Daungkrajung (Golf)
Videographer & Editor
Midnight in Paris (2011)

เหตุผลหลักที่เลือกหนังเรื่องนี้มา คงเป็นเพราะการย้อนอดีตของ เรื่องราวในหนัง เพราะตัวเราเองมักจะนึกถึงอยู่เสมอตั้งแต่ยังอยู่ ในวัยค้นหา ว่าถ้าเราสามารถย้อนอดีตไปในช่วงเวลา 1960s – 1980s ณ ซานฟรานซิสโก ซึ่งเป็นช่วงที่ดนตรีร็อคที่เรารักกำลัง เบ่งบาน เทคโนโลยีเริ่มพัฒนาอย่างก้าวกระโดด หนังที่เราชอบ ออกฉายแทบจะทุกเดือน สังคมกำลังเริ่มเปิดกว้างทางความคิด, ความหลากหลาย และได้ใช้เวลาอยู่กับคนที่เรารักมันจะมีความสุข มากกว่าในโลกปัจจุบันไหม ?
หนังเรื่องนี้ถ่ายทอดความรัก,ความเหงา และการโหยหาบางอย่าง ที่อยู่ในสมองของเรา ออกมาเป็นรูปธรรม ถึงแม้ว่าเรื่องราวใน หนังจะเป็นยุค 1920s และมันไม่ได้ตอบคำถามของสิ่งที่เรา อยากจะรู้ แต่มันก็เป็นสิ่งที่ทำให้เราได้รู้สึกว่ามีสิ่งที่รีเลท และใกล้ กับสิ่งที่อยู่ในโลกในสมองเรามากที่สุดแล้ว
Ps. เอาจริง ๆ เรื่องราวในหนังที่เป็น ปารีสยุค 1920s ก็อยากไปนะ อยากรู้ว่า Hemingway หรือ Fitzgerald แม่งจะเป็นคนแบบที่เรา คิดจากการอ่านผลงานของเขาไหม? Dali กับ Man Ray ตัวจริง มันคุยด้วยยากไหม? หรือแม้แต่ Stein เค้าจะสับงานถ่ายรูปของ เราว่ายังไงบ้าง ? 5555555

Pattarachai Songaksorn (Chang)
Creative & Photographer
Hachi: A Dog’s Tale (2009)

ความรักของสุนัขที่มีต่อเจ้านายที่จากไปนั้นไม่มีการเปลี่ยนแปลง ตั้งแต่วันแรกที่ทั้งคู่ได้พบกัน ความรักที่สุนัขมอบให้กับเจ้านายนั้น ไม่ต้องการสิ่งตอบแทนใด ๆ ทุกลมหายใจนั้นมีให้แค่เจ้านาย คนเดียวจนลมหายใจสุดท้ายของชีวิตที่เฝ้ารอการที่ทั้งสอง จะได้พบกันอีกครั้ง ความซื่อสัตย์นี้ถูกบอกเล่าจากคนรุ่นนั้น จนถึงรุ่นนี้ และเป็นเรื่องจริงที่สามารถจับต้องได้

Kornared Naowangwara (Champ)
Co-Founder & CEO