เรียกว่าเป็นอีกหนึ่งปีทองสำหรับสาวก G-SHOCK จริงๆ เพราะตั้งแต่ต้นปีจนถึงตอนนี้ มีคอลเลคชั่นเจ๋งๆออกมาให้ได้เลือกเก็บสะสมกันมากมาย ทั้งคอลเลคชั่นธรรมดาและแบบลิมิเต็ดอิดิชั่น ต้องถามว่าเก็บเงินกันทันไหมเพราะเล่นออกมากันแบบน่าเก็บทุกคอลเลคชั่นแบบนี้ สาวก G-SHOCK อาจจะกระเป๋าแห้งกันได้เลย
เกริ่นกันไปพอหอมปากหอมคอมาเข้าเรื่องกันดีกว่า คืออย่างที่ทุกคนทราบดีว่า G-SHOCK เขาออกคอลเลคชั่นเพื่อเป็นการเฉลิมฉลองครบรอบ 35 ปีมาตั้งแต่ปลายปีที่แล้วจนถึงตอนนี้ และคาดว่าจะมีคอลเลคชั่นเจ๋งๆให้ได้เสียเงินกันตลอดทั้งปีอย่างแน่นอน สำหรับคอลเลคชั่นที่เราจะมาแนะนำในครั้งนี้ มีชื่อว่า G-SHOCK 35th FULL METAL SERIES ขอบอกเลยว่าเราเห็นครั้งแรกแล้วแบบคิดในใจว่าต้องเอามารีวิวแนะนำให้ทุกๆคนอ่านกันให้ได้ ยิ่งตอนไปเปิดตัวครั้งแรกที่งานนาฬิการะดับโลก BASEL WORLD เป็นคอลเลคชั่นที่เรียกเสียงฮือฮาเป็นอย่างมาก เรียกว่าโดนใจคนที่มาร่วมงานกันแบบชนิดพูดกันปากต่อปาก (35 ปีทั้งที G-SHOCK ต้องทำให้สุดอยู่แล้ว) เกือบลืมบอกไปว่า Soul4street ได้มารีวิวเป็นที่แรกก่อนใครในประเทศไทย เรียกว่าเอ็กซ์คลูซีฟเพื่อชาว S4S โดยเฉพาะ
ใน G-SHOCK 35th FULL METAL SERIES นี้จะมีด้วยกันทั้งหมดถึง 5 รุ่นด้วยกัน ความน่าสนใจคือเป็นการหยิบเอาความคลาสสิคตลอดกาลของ G-SHOCK อย่างรุ่นซีรี่ย์ 5000 ที่เป็นทรงสี่เหลี่ยมดีไซน์แบบดั้งเดิม และถือได้ว่าเป็นรุ่นสัญลักษณ์ของ G-SHOCK โดยทางแบรนด์ได้นำเอามาพัฒนาใส่ทั้งความทันสมัย เพิ่มเติมดีไซน์ รวมถึงเทคโนโลยีอันทันสมัย หน้าปัดถูกออกแบบโดยใช้โซลาร์เซลแบบแผ่นฟิล์มคงความใสของจอแสดงผล และ STN-LCD ทำให้ไม่ว่าจะดูเวลาจากมุมไหนก็ชัดเจนทุกมุม ที่เด็ดสุดคือเป็นครั้งแรกของรุ่นซีรี่ย์ 5000 ที่โครงสร้างรวมถึงตัวเรือน ขอบตัวเรือน และฝาหลังทำจากสตีลทั้งหมด ข้อดีเลยจะมีความแข็งแรงทนทานต่อการใช้งานเป็นอย่างมาก และยังเสริมด้วยวัสดุเรซิ่นทนทานผสานเข้าตรงไปรอยต่อระหว่างตัวเรือนและขอบตัวเรือน เพื่อคอยรองรับแรงกระแทก เรียกว่าพร้อมลุยทุกสถานการณ์สมกับสโลแกน ABSOLUTE TOUGHNESS เราบอกกันไปถึงภาพรวมของคอลเลคชั่นนี้กันแล้วว่ามีอะไรที่เพิ่มมาบ้าง คราวนี้เรามาเจาะลึกกันที่ละรุ่นกันเลยดีกว่า
รุ่น GMWB5000D-1 (สีเงิน) & รุ่น GMWB5000TFG-9 (สีทอง)
เห็นครั้งแรกแล้วให้อารมณ์ของความลักชัวรี่หรูหราจริงๆ โดยทั้งสองรุ่นคือเวอร์ชั่นสุดล้ำที่พัฒนาขึ้นมาจาก DW-5000 โดยตัวเรือน หน้าปัด ขอบตัวเรือน ฝาหลัง และสายนาฬิกาทำจากวัสดุสตีลทั้งหมด ไม่ต้องห่วงเรื่องความทนทาน อีกหนึ่งจุดที่เพิมเข้ามาเพื่อรองรับแรงกระแทก คือการเพิ่มสลักตรงสายนาฬิกาเพราะเป็นส่วนที่น่าจะได้รับแรงกระแทกสูงสุด ตรงส่วนของฝาหลังนั้นเป็นแบบขันสกรู โดดเด่นด้วยคำว่า Shock Resistant และเคลือบผิวคล้ายเพ็ชรเพื่อป้องกันรอยขีดข่วน
มาถึงฟังก์ชั่นการทำงานที่ขอบอกว่าสุดล้ำ สามารเชื่อมต่อ Bluetooth และ Multiband 6 ซึ่งรองรับการปรับตั้งค่าเวลาอัตโนมัติเทียบเวลามาตรฐานทั่วโลก ยังไม่หมดเพียงเท่านี้ยังมีฟังก์ชั่นเตือนความจำที่สามารถบันทึกได้ถึง 5 ครั้งผ่านแอพพลิเคชั่น G-SHOCK Connected*1 ต่อไปนี้ไม่ต้องกลัวที่จะลืมวันสำคัญๆอีกต่อไป เกือบลืมบอกไปนาฬิกา GMWB5000TFG-9 (สีทอง) จะมีความพิเศษมากกว่า GMWB5000D-1 (สีเงิน) ตรงที่สีทองจะมาพร้อมฝาหลังสีทองที่สลัก G-SHOCK 35TH และแพ็คเกจที่ถูกออกแบบพิเศษฉลองครบรอบ 35 ปีโดยกราฟฟิตี้ชื่อดังระดับโลก Eric Haze ทั้งสองโมเดลนี้จะวางจำหน่ายก่อนโมเดลอื่นๆในคอลเลคชั่นนี้
รุ่น GMWB5000TFC-1 (Porter Original Collection Case Set)
เป็นรุ่นที่น่าจับตามองเป็นอย่างมาก ที่สำคัญยังเป็นการร่วมงานกับ Porter สายสตรีทต่างรู้จักกันเป็นอย่างดี ซึ่งเป็นแบรนด์กระเป๋าระดับตำนานของประเทศญี่ปุ่นก่อตั้งโดยคุณ Kichizo Yoshida ก่อตั้งแบรนด์มานานกว่า 83 ปี เป็นแบรนด์ที่ถูกยอมรับจากทั่วโลกและถูกยกให้เป็นหนึ่งในแบรนด์กระเป๋าที่คุณภาพพรีเมี่ยมระดับโลก ขึ้นชื่อในเรื่องของความทนทานซึ่งก็ตรงกับนาฬิกาของ G-SHOCK ที่ขึ้นชื่อเรื่องความทนทานเช่นเดียวกัน
สำหรับนาฬิกาตัวนี้จะมาในโทนสีเทาเข้ม เป็นรุ่นที่ถูกผลิตมาเพื่อเป็นการเฉลิมฉลองการครบรอบ 35 ปีของ G-SHOCK มีขายเพียง 500 เรือนทั่วโลกเท่านั้น โดยเฉพาะ โดยตัวเรือน หน้าปัด ขอบตัวเรือน ฝาหลัง และสายนาฬิกาทำจากวัสดุสตีลทั้งหมด และเคลือบทองด้วยเทคนิค ion Plating ไม่ต้องห่วงเรื่องความทนทาน และฝาหลังตัวเรือนถูกสลักด้วยอักษร G-SHOCK 35th Anniversary ที่ถูกออกแบบโดย Eric Haze ศิลปินกราฟฟิตี้ชื่อดังระดับโลก
ความพิเศษคือนาฬิกาจะมาพร้อมกระเป๋ารุ่น Yoshida Bag ที่ถูกผลิตโดยแบรนด์กระเป๋า Porter ตัวกระเป๋าถูกผลิตจากผ้าไนล่อนคุณภาพสูง ด้านหน้าจะมีป้ายแทคของทั้งสองแบรนด์ติดอยู่ และมีช่องใส่ของด้วยกันทั้งหมดสองช่อง ส่วนตรงกลางเป็นช่องซิปที่ด้านในจะมีเคสเป็นช่องไว้เก็บนาฬิกาด้วยกันทั้งหมด 5 เรือน ว่าง่ายๆช่องที่ว่างอยู่ก็ไว้สำหรับนาฬิการุ่นอื่นๆใน G-SHOCK 35th FULL METAL SERIES อีกทั้งสี่เรือนนั้นเอง เหมาะอย่างยิ่งสำหรับสาวกและนักสะสม G-SHOCK ที่
นาฬิกามาพร้อมฟังก์ชั่นการทำงานสุดล้ำ CASIO CONNECTED สามารเชื่อมต่อ Bluetooth และ Multiband 6 ซึ่งรองรับการปรับตั้งค่าเวลาอัตโนมัติเทียบเวลามาตรฐานทั่วโลก ยังไม่หมดเพียงเท่านี้ยังมีฟังก์ชั่นเตือนความจำที่สามารถบันทึกได้ถึง 5 ครั้งผ่านแอพพลิเคชั่น G-SHOCK Connected*1
รุ่น GMW-B5000-1 (สีเงิน)
ในรุ่นนี้จะมีความคล้ายคลึงกับตัว GMWB5000D-1 และ GMWB5000TFG-9 จะแตกต่างกันตรงที่รุ่นนี้ตรงสายนาฬิกาจะทำจากวัสดุเรซิ่นคุณภาพชั้นสูงแทน เหมาะสำหรับใครที่ชอบลุคที่ดูสปอร์ตแวร์ขึ้นมาหน่อย เหมาะสำหรับสายสตรีทสายลุยทั้งหลาย ตรงส่วนของฝาหลังนั้นเป็นแบบขันสกรู โดดเด่นด้วยคำว่า Shock Resistant และเคลือบผิวคล้ายเพ็ชรเพื่อป้องกันรอยขีดข่วน
มาถึงฟังก์ชั่นการทำงานสุดล้ำ สามารเชื่อมต่อ Bluetooth และ Multiband 6 ซึ่งรองรับการปรับตั้งค่าเวลาอัตโนมัติเทียบเวลามาตรฐานทั่วโลก ยังไม่หมดเพียงเท่านี้ยังมีฟังก์ชั่นเตือนความจำที่สามารถบันทึกได้ถึง 5 ครั้งผ่านแอพพลิเคชั่น G-SHOCK Connected*1
รุ่น GMW-B5000KL (Kolor x G-SHOCK)
มาถึงเรือนสุดท้ายที่เราถือว่าเป็นทีเด็ดปิดท้ายของคอลเลคชั่นนี้ เพราะในรุ่นนี้ได้ร่วมกับหนึ่งในแบรนด์เสื้อผ้าชื่อดังจากแดนปลาดิบ Kolor ก่อนจะไปเจาะลึกที่นาฬิกา เราขอเล่าประวัติของแบรนด์ Kolor ให้ได้อ่านก่อน สำหรับแบรนด์นี้เนี่ยถูกก่อตั้งโดย Junichi Abe ซึ่งเป็นผู้คร่ำหวอดในวงการแฟชั่นมาอย่างยาวนาน เคยร่วมงานกับแบรนด์ดังต่างๆมาอย่างมากมาย จนกระทั่งในปี 2004 เองเขาได้ออกมาและเริ่มก่อตั้งแบรนเสื้อผ้าเป็นของตัวเองอย่างจริงจัง จนประสบความสำเร็จจนได้รับการยอมรับจากวงการแฟชั่นทั่วโลก และยังได้ร่วมงานกับแบรนด์ระดับโลกอย่าง adidas อีกด้วย
แนะนำประวัติกันไปแล้วคราวนี้มาเล่าถึงตัวนาฬิกากันบ้าง เราชอบการเลือกคู่สีของนาฬิการุ่นนี้มาก เป็นการเอาสองโทนสีอย่างสีทองและสีดำมาจับคู่ผสานเข้าด้วยกัน ซึ่งให้อารมณ์ของความหรูหราได้อย่างลงตัว สำหรับนาฬิกาในรุ่นนี้ตัวเรือน ฝาด้านหลัง ทำจากสตีล ในตรงส่วนของสายจะทำจากสายเรซิ่นสีดำคุณภาพสูง
ความพิเศษที่แตกต่างจากรุ่นอื่นๆในคอลเลคชั่น 35 ปี คือตรงฝาหลังที่ถูกเลือกใช้สีดำทำจากแบบขันสกรู ที่สำคัญยังถูกสลักลายโลโก้ 35 ปีที่ทาง Kolor เป็นคนออกแบบเอง รวมถึงหัวเข็มขัดสายข้อมือที่มีคำว่า Kolor ซึ่งต่างจากรุ่นอื่นๆที่ทาง Eric Haze เป็นคนออกแบบ และตอกย้ำถึงความพิเศษของนาฬิการุ่นนี้ ด้วยการผลิตออกมาเพียง 700 เรือนทั่วโลก ต้องบอกเลยว่าลิมิเต็ดมากจริงๆ และนาฬิการุ่นนี้ยังสามารเชื่อ,ต่อ Bluetooth และ Multiband 6 ซึ่งรองรับการปรับตั้งค่าเวลาอัตโนมัติเทียบเวลามาตรฐานทั่วโลก ยังไม่หมดเพียงเท่านี้ยังมีฟังก์ชั่นเตือนความจำที่สามารถบันทึกได้ถึง 5 ครั้งผ่านแอพพลิเคชั่น G-SHOCK Connected*1 อีกด้วย
สำหรับใครที่ชื่นชอบความเอ็กซ์คลูซีฟและความลิมิเต็ด คอลเลคชั่น G-SHOCK 35th FULL METAL SERIES ตอบโจทย์อย่างแน่นอน และห้ามพลาดด้วยประการทั้งปวงจริงๆสำหรับคอลเลคชั่นนี้ เพราะด้วยเรื่องราวของสตอรี่และเรื่องของวัสดุ รวมถึงดีไซน์ที่บอกเลยว่าคุ้มค่ากับราคาจริงๆ โดยจะเริ่มวางจำหน่ายโมเดลแรกในวันที่ 18 พฤษภาคมนี้ ส่วนในโมเดลอื่นๆจะวางจำหน่ายวันไหน และมีกติกายังไงบ้างสามารถติดตามเพิ่มเติมได้ที่ www.facebook.com/CASIO.THAILAND/ หรือที่เวบไซต์ทางการของ CMG ได้ที่ www.casio-cmg.com
https://www.youtube.com/watch?v=otfFV78689o
แต่ที่เรามารีวิวในครั้งนี้ยังไม่หมดเพียงเท่านี้ G-SHOCK ยังมีทีเด็ด ที่จะออกมาให้ได้สะสมกันอีกตลอดทั้งปีอย่างแน่นอน ห้ามพลาด !!