เมื่อวันที่ 29 กรกฎาคมที่ผ่านมาได้มีประกาศจากทางสมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทยฯ ปลดคุณ “อากิระ นิชิโนะ” ออกจากตำแหน่งเฮดโค้ชฟุตบอลประจำทีมชาติไทย ซึ่งหลังจากทราบเรื่อง ทางทีมงาน Soul4street ก็ได้หาโอกาสพูดคุยกับคุณนิชิโนะมาโดยตลอด จนเมื่อเราได้มาพบกับคุณนิชิโนะเป็นครั้งแรก จากลักษณะภายนอกนั้นดูเป็นมิตร แต่ก็แฝงไปด้วยความเคร่งขรึมและจริงจังไปพร้อม ๆ กัน
คุณอากิระ นิชิโนะ อดีตควาญช้างศึกไทย อายุ 66 ปี เกิดที่จังหวัดไซตามะ ประเทศญี่ปุ่น ได้เดินทางมาอาศัยอยู่ในประเทศไทยถึง 2 ปี นับตั้งแต่ได้รับตำแหน่งโค้ชให้กับกีฬาฟุตบอลทีมชาติไทยเมื่อช่วงเดือนกรกฎาคม ปี พ.ศ. 2562 หลังจากที่เราพูดคุยกับคุณนิชิโนะกันเล็กน้อย ก็ได้เข้าสู่บทสัมภาษณ์ ซึ่งผู้อ่านสามารถติดตามได้ตั้งแต่นี้เป็นต้นไปครับ
เข้ารับตำแหน่งโค้ชประจำทีมชาติไทยได้อย่างไร?
จุดเริ่มต้นนั้นเกิดจากการที่ในช่วงนั้นฟุตบอลทีมชาติไทยกำลังต้องการโค้ชประจำทีม ประกอบกับมีชาวญี่ปุ่นที่ทำงานอยู่ภายในสมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทยฯ ก็เลยได้มีโอกาสแนะนำคุณ “อากิระ นิชิโนะ” ทางสมาคมจึงได้ติดต่อไป
ทางคุณนิชิโนะเองจึงได้พูดคุยกับทางสมาคมฯ และได้พูดถึงเรื่องแนวทางและวิสัยทัศน์ของฟุตบอลทีมชาติไทย ผนวกกับคุณนิชิโนะเองได้เดินทางมาแข่งขันกีฬาฟุตบอลด้วยตัวเองที่ประเทศไทยเมื่อ 40 ปีก่อน จึงเกิดเป็นความท้าทายของคุณนิชิโนะที่อยากจะหมายมั่นปั้นมือให้กับฟุตบอลทีมชาติไทยด้วยตัวของเขาเอง จึงตอบรับคำเชิญไปและได้มาร่วมงานกันในที่สุด
หลังจากได้รับตำแหน่งโค้ชประจำทีมชาติไทย เห็นข้อดี-ข้อเสีย ของนักฟุตบอลไทยอย่างไรบ้าง?
แน่นอนว่าแต่ละประเทศก็มีวิธีคิดและแนวทางที่แตกต่างกันออกไป ตัวผมเองเลยคิดว่าประสบการณ์ที่เคยใช้กับที่ประเทศญี่ปุ่นจึงไม่สามารถนำมาใช้กับประเทศไทยได้ ทุกอย่างจึงต้องมีการปรับเปลี่ยนใหม่ และผมได้นำแผนต่าง ๆ ที่เคยทำให้ญี่ปุ่นคว้าแชมป์มาได้ นำมาปรับใช้เพื่อให้เข้ากับทีมชาติไทยครับ
ย้อนกลับไปเมื่อ 40 ปีที่แล้วสมัยที่ผมยังเป็นนักกีฬาอยู่ นักบอลไทยมีศักยภาพสูงมาก ตัวผมเองนั้นจำไม่ได้เลยว่าเคยชนะทีมชาติไทยไหม ถึงเคยก็คงน้อยครั้งมาก ๆ แต่พอเวลาล่วงเลยมาจนถึงปัจจุบันจนผมได้มาคุมทีมเองก็พบว่า ศักยภาพของนักบอลไทยนั้นไม่ได้เปลี่ยนแปลงไป ซึ่งในที่นี้คือไม่ได้ดีขึ้นหรือไม่ได้แย่ลงกว่าแต่ก่อนมากนัก จึงเกิดเป็นความท้าทายของผมเองที่จะเข้ามาผลักดันศักยภาพของนักบอลไทยให้ดีขึ้นกว่าเดิมได้อย่างไร
แล้วเรื่องพฤติกรรมหรือระเบียบวินัยของนักฟุตบอลทีมชาติไทยล่ะ ในความเห็นของคุณนิชิโนะเอง เป็นอย่างไรบ้าง?
ผมคิดว่าเรื่องสปิริตหรือวินัยนั้นทำได้ดีนะ แต่แรก ๆ ที่ผมได้ลองเข้ามาคุมทีมสักระยะ ผมก็รู้สึกแอบสงสัยอยู่ในใจเหมือนกันว่าทำไมนักกีฬาเองไม่ค่อยมีความเป็นตัวเองนัก เหมือนกับว่านักฟุตบอลแต่ละคนนั้นมีความสามารถอยู่แล้วแต่ไม่รีดประสิทธิภาพตรงนั้นออกมาใช้ได้อย่างเต็มที่
แล้วเรื่องมุมมองหรือทัศนคติของนักกีฬาล่ะ?
ตัวผมเองรู้สึกว่านักฟุตบอลไทยนั้นมีความสามารถสูงก็จริง แต่เหมือนกับว่าพวกเขานั้นไม่กล้าที่จะฝัน ไม่กล้าที่จะเติบโต ซึ่งอาจจะเป็นเพราะแรงกดดันอะไรหลาย ๆ อย่าง ไม่ว่าจะเป็นสิ่งแวดล้อมเอง หรือทางสมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทยฯ หรือแฟนบอล จนไปถึงทางญาติมิตร ผู้ปกครอง ในส่วนนี้ตัวผมเองก็ไม่สามารถตอบได้ หรืออาจจะเป็นที่สัญญาที่ติดตัวนักกีฬาเองที่มีระยะเวลายาวนานเกินไป หรือไม่ก็ตัวนักกีฬาเองที่พอใจที่จะอยู่จุดนี้อยู่แล้ว ทั้งหมดทั้งมวลนั้นขึ้นอยู่กับปัจจัยหลาย ๆ อย่างครับ
ภายหลังจากที่คุณนิชิโนะได้เข้ามาทำงาน เรื่องการบริหารจัดการของสมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทยฯ เป็นอย่างไรบ้าง?
หลังจากที่ผมได้ถูกเชิญให้เข้ามาเป็นโค้ชให้กับกีฬาฟุตบอลทีมชาติไทย ซึ่งอาจจะเป็นเพราะทางสมาคมฯได้ทราบถึงผลงานของการที่ผมนำทีมญี่ปุ่นเข้าการแข่งขันฟุตบอลโลก พอถึงเวลาที่ผมได้สัมผัสกับตัวเองจริง ๆ นั้น ผมคิดว่าการคัดเลือกนักฟุตบอลที่เก่งกาจมาเข้าทีมนั้นอาจจะยังไม่เพียงพอ การวางรากฐานที่ดีของตัวนักกีฬาเองนั้นเห็นผลได้ดีที่สุด ไม่ว่าจะเป็นการเริ่มขัดเกลาตัวนักกีฬาตั้งแต่ U17 ไปจนถึง U23
ซึ่งผมขอพูดตามตรงว่าการที่จะนำโค้ชไม่ว่าจะคนไหนก็แล้วแต่ มานำทีมภายใน 2 ปีแล้วทีมโดดเด่นขึ้นทันตานั้นเป็นไปไม่ได้ ของเหล่านี้จึงต้องเริ่มตั้งแต่การคัดเลือกและฝึกสอนตัวนักกีฬาตั้งแต่ยังเด็กเลย เปรียบเสมือนต้นไม้หากเราเลี้ยงดูบ่มเพาะเป็นอย่างดีตั้งแต่เป็นต้นอ่อน เมื่อเจริญเติบโตก็จะเป็นต้นไม้ที่สวยงามได้
หากคุณนิชิโนะสานงานต่อจนจบ U23 และได้ชิงแชมป์เอเชียหรือชิงแชมป์อาเซียน คุณคิดว่าผลงานและภาพลักษณ์ของทีมชาติไทยจะเป็นอย่างไร
ณ ตอนที่ผมได้เข้ามารับตำแหน่งแรก ๆ เลย ผมขอดูทีม U23 (การแข่งขันระดับเยาวชนรุ่นอายุไม่เกิน 23 ปี) และทีมชาติไทย เพราะผมรู้สึกว่าสองสิ่งนี้เกี่ยวข้องกันโดยตรง ซึ่งกว่าผมจะได้เข้ามามีบทบาทใน U23 ก็น่าจะช่วงมกราคมปี พ.ศ. 2563 แล้วซึ่งเป็นช่วงที่โควิด-19 นั้นแพร่ระบาดพอดี จึงทำให้การซ้อมและการแข่งขันนั้นต้องหยุดชะงัก
จุดที่ผมต้องโฟกัสที่ U23 เป็นพิเศษนั้นมีเหตุผล เพราะหากเราทำตรงนี้ได้แข็งแกร่งมากเท่าไหร่ โอกาสที่เขาเหล่านั้นจะเติบโตเข้าไปสู่ระดับทีมชาตินั้นก็จะยิ่งแข็งแกร่งมากขึ้น เหมือนกับที่ผมบอกไว้ตอนต้นว่ารากฐานที่ดีก็จะนำไปสู่ประสิทธิภาพที่ดีตามมา
ทางเราอยากทราบถึงมุมมองของคุณนิชิโนะว่า ในภาพรวมของฟุตบอลไทยควรให้เวลากับโค้ชนานเท่าไรจึงสัมฤทธิ์ผล?
จะให้ผมพูดเลยว่ากี่ปีผมคงตอบเป็นจำนวนไม่ได้ หากแต่ว่าขึ้นอยู่กับหลักการของทีมหรือสโมสรมากกว่าว่ามีหลักการทำงานอย่างไร สมมุติว่าถ้าเราคุมทีมแล้วเกิดแพ้ติดต่อกัน 3-4 นัดแล้วเกิดความกดดันภายในก็ส่งผลมาถึงตัวโค้ชและตัวนักเตะ ซึ่งก็จะมีผลต่อเวลาในการทำงานของทีมที่ต้องบีบให้ทีมดีขึ้นในเร็ววัน
ซึ่งหากทางสโมสรต่าง ๆ นั้น ให้เวลาแล้วลดแรงกดดันตรงส่วนนี้ ก็จะทำให้โค้ชและตัวนักเตะนั้นทำงานได้ดีขึ้น อาจจะแพ้บ้างชนะบ้าง ค่อย ๆ เติบโตเป็นขึ้นบันไดไป ทีมก็จะแข็งแรงขึ้นตามลำดับ แต่ในสถานการณ์จริงก็ค่อนข้างตอบอยากครับ
เมื่อก่อนผมได้คุมทีมญี่ปุ่นในฝั่งคันโต (ฝั่งตะวันออกของญี่ปุ่น) และย้ายมาที่ทางฝั่งคันไซ (ฝั่งตะวันตกของญี่ปุ่น)
(***อธิบายเพิ่มเติมเล็กน้อยครับ โดยปกติทางญี่ปุ่นนั้นจะไม่ค่อยมีการข้ามฝั่งกันและกันสักเท่าไหร่) ซึ่งผมคุมทีมนั้นอยู่ประมาณ 10 ปี ซึ่งหาได้น้อยมาก ประมาณ 5 คนในโลกก็ว่าได้ แต่เป็นการต่อสัญญาทุก ๆ 2 ปี รู้ตัวอีกทีก็ต่อสัญญาไป 5 รอบแล้วฮ่า ๆ
ผมคิดว่าการเป็นโค้ชที่ดีก็คงอาจะเป็น 3 ปีอาจจะเป็นเวลาที่พอเหมาะในการคุมทีมและหาประสบการณ์เพิ่มเติมไปเรื่อย ๆ และนำมาปรับใช้กับทีมที่ได้รับมอบหมายต่อ ๆ ไปครับ
แล้วถ้าจะพูดถึงโค้ชที่จะมาสานงานต่อจากคุณนิชิโนะล่ะ ในความคิดของคุณควรเป็นคนแบบไหนครับ?
คุณนิชิโนะก็หัวเราะเล็กน้อย พร้อมบอกกับเราว่าจริง ๆ ผมก็ไม่ได้คิดหรือคาดหวังอะไรตรงจุดนี้นะ เพราะโค้ชแต่ละคนก็มาความสามารถที่แตกต่างกันไป ทั้งนี้ก็คงต้องแล้วแต่ทางสมาคมด้วยครับ
สมมุติว่าถ้าเป็นคุณ “มาซาทาดะ อิชิอิ” (โค้ชประจำทีมฟุตบอลสโมสรสมุทรปราการ ซิตี้) คิดว่าจะเป็นอย่างไรบ้าง?
ตัวผมเองได้รู้จักกับคุณมาซาทาดะ อิชิอิ เป็นการส่วนตัวอยู่แล้ว และเคยร่วมงานกันเมื่อตอนอยู่ที่ญี่ปุ่นด้วยนะ ตอนนี้เขาก็คงเหนื่อยอยู่เหมือนกันฮ่า ๆ เพราะได้คุมสโมสรที่ไทยเหมือนกัน เขาเป็นคนที่มีความคิดในแง่บวก และมีความหลงใหลในฟุตบอลมาก ในฐานะที่เขาเป็นคนญี่ปุ่นเหมือนผม ผมก็อยากเชียร์ให้เขาได้ตำแหน่งนี้เหมือนกันนะฮ่า ๆ
เนื่องจากคุณนิชิโนะเองได้พ้นจากตำแหน่งเป็นที่เรียบร้อยแล้ว มีอะไรที่ยังอยากทำแต่ไม่ได้ทำกับฟุตบอลทีมชาติไทยไหม?
ว่ากันตามตรงเลยผมเองนั้นทำงานได้เพียงแค่ 20% เท่านั้น การที่ผมมายืนตรงจุดนี้ผมก็อยากท้าทายความสามารถตัวเองจริง ๆ และยังมีอีกหลายอย่างมากที่ผมอยากจะทำ แต่ด้วยสถานการณ์โควิด-19 นี้มันก็หลีกเลี่ยงไม่ได้จริง ๆ ซึ่งผมก็เสียใจและเสียดายมาก ๆ ก็ต้องขอโทษทีมและแฟนบอลชาวไทยด้วยครับ
สุดท้ายนี้หากแฟนบอลชาวไทยยังเชื่อมั่นในคุณนิชิโนะอยู่ อยากฝากอะไรถึงแฟนบอลและนักฟุตบอลทีมชาติไทย
ในตอนแรกที่ผมเข้ามาทำงานก็อาจจะมีแฟนบอลคาดหวังในตัวผมสูง ด้วยโปรไฟล์หรือผลงานต่างๆ แต่ผลลัพธ์ที่ได้คือผมไม่สามารถทำผลงานออกมาให้แฟนบอลพอใจได้ ผมรู้สึกเสียดายและเสียใจมากจริง ๆ ผมคงไม่อยากเอาเรื่องโควิด-19 มาเป็นข้ออ้างสักเท่าไหร่นัก
เพราะการที่ผมมาที่นี่ ผมมาด้วยความท้าทายและโหยหาอะไรบางอย่าง ที่จะพัฒนาศักยภาพให้กับทีมชาติไทยให้ดีขึ้น ซึ่งอย่างที่ผมว่าไว้คือผมทำงานได้เพียง 20% เท่านั้น จากใจลึก ๆ ผมก็ยังคงอยากสานต่องานของผมให้จบ เพราะผมมองเห็นว่าทีมชาติไทยนั้นเปรียบดั่งเพชรที่ขาดการเจียระไนเท่านั้น ซึ่งผมอยากเข้ามาเปลี่ยนแปลงตรงนี้จริง ๆ ผมยังคงอยากเห็นทีมชาติไทยไปถึงระดับโลกอยู่นะ
ทางคุณนิชิโนะได้ทิ้งท้ายไว้เล็กน้อยว่า ผมรู้สึกว่า 2 ปีที่ผมได้อยู่ตรงนี้ ไม่ว่าจะเป็นตัวนักฟุตบอลเองหรือทางสมาคมฯเอง เหมือนถูกกดอยู่ในกรอบ หรืออะไรบางอย่างที่ซึ่งไม่สามารถที่จะพังทลายตรงจุดนี้ได้ อาจจะเป็นที่ตัวสังคมหรือสิ่งแวดล้อมต่าง ๆ ซึ่งพอลองย้อนกลับมาทีกีฬา ความเป็นกีฬานั้นต้องไปให้สุดต้องข้ามขีดจำกัดอะไรก็ตามแต่ออกไปให้ได้ มันถึงจะเกิดการพัฒนาไปในทางที่ดีขึ้น