ถ้าจะให้พูดถึงศาสตร์การคัสตอมรองเท้า น้อยคนนักที่จะเข้าถึงศาสตร์นี้ และอาจจะไม่มีความรู้ความมั่นใจสักเท่าไหร่ แต่ถ้าบอกว่ามีคนไทยคนหนึ่ง ที่ผลิตงานดังกล่าวนี้ และมีฝีมือไม่แพ้ชาวต่างชาติ ซ้ำยังถูกจัดให้เป็นมือวางอันดับที่ 15 ของโลก … ท่านจะว่าอย่างไร
ในวันนี้ทาง Soul4street จะพาทุกท่านไปรู้จักกับเขาคนนี้ คุณอาร์ต นรินทร์ ทองคำฟู (Narin Thongkumfull)
เริ่มงานคัสตอมรองเท้าได้อย่างไรครับ ?
เราจบเพาะช่าง และหลังจากที่เรียนจบเราก็เคยทำงานครีเอทีฟมาก่อน แต่จุดเริ่มต้นจริงๆมาจากงาน Sneakers Pimp เราไปช่วยรุ่นพี่รับจ๊อบ แล้วเผอิญเราพกกระดานวาดรูปไปด้วย ซึ่งเป็นความบังเอิญมากที่เราได้เจอกับ Peter Farthay และ Dave White ศิลปินสาย Contemporary art / Pop Art ชาวอังกฤษ ( โดยที่ตอนนั้นเราไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขาดัง ) ซึ่งตอนนั้นเขามาแสดงงานที่นี่
ณ จุดนั้น เรายังไม่รู้จัก adidas หรือ Nike ดีเลยด้วยซ้ำ เพราะสมัยที่เราเรียนเพาะช่าง รองเท้า Converse คือไอเท็มที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างดี สำหรับเด็กศิลปะอย่างเรา เราจึงคิดว่าเราน่าจะทำงานแบบนี้ได้นะ
หลังจากนั้นเราก็กลับไปเรียน ฝึกปรือฝีมือ แล้วเริ่มมาเปิดร้านคัสตอมที่มาบุญครอง ซึ่งในตอนแรกไม่มีลูกค้าเลยนะ… แต่แล้วจู่ ๆ ก็มีฝรั่งสองคนพี่น้องเดินมาหาเรา พอเขาดูลายเส้นและหลาย ๆ อย่างก็คงรู้ว่าเราทำได้ เขาจึงให้โอกาสเรา ซึ่งหลังจากโอกาสที่ได้รับมาในครั้งนั้น ชีวิตเราก็เปลี่ยนไป
รองเท้าที่พี่เริ่มคัสตอมตัวแรก คือรุ่นอะไรครับ ?
ตอนที่เราเริ่มคัสตอม Converse คิดง่าย ๆ เลยว่ามันก็คือผ้าใบแบบที่เด็กจิตรกรรมเราใช้ในการระบายงานนี่แหละ เพียงแต่ว่าเราต้องวางองค์ประกอบศิลป์ของมันให้ถูกที่ถูกทางเท่านั้น
แล้วพี่ศึกษา และทดลองเทคนิคการทำงานบนรองเท้าอย่างไรครับ ในเมื่อยุคนั้นช่องทางการเข้าถึงความรู้เหล่านี้ยังมีอยู่น้อยมาก ?
เราเป็นคนบ้าสี สมัยเรียนเราก็ชอบบ้าซื้อสีมาเก็บไว้ทดลองอยู่แล้ว จะเรียกว่ากินแทนข้าวเลยก็ว่าได้ และในช่วงที่อินเตอร์เน็ตยังไม่เข้ามา เรากับแฟน (คุณก้อย ฐิติพร สุราฤทธิ์)ก็ศึกษาผ่าน myspace อยู่เป็นระยะ และในนั้นก็จะมีสังคมของคนคัสตอมรองเท้าอยู่ในระดับนึง (แต่ไม่ใหญ่เท่าในยุคนี้)
อีกอย่างหนึ่งเลยคือ ข้อดีของการที่เราอยู่มาบุญครอง ที่นั่นมีฝรั่งเยอะ เวลาเราเจอคนที่ทำงานแบบเดียวกัน เราก็มีโอกาสได้แลกเปลี่ยนเทคนิคและความคิดเห็นเพื่อพัฒนางานของเราต่อไป เป็นลักษณะเฉพาะของยุค 90s ที่แท้จริง เพราะทุกวันนี้เราเข้าถึงและเชื่อมโยงถึงกันได้ง่ายกว่าตอนนั้นเยอะ
และจากการท่อง myspace ในที่สุดเราก็ได้รู้จักกับสี angelus ซึ่งเป็นสีที่นักคัสตอมรองเท้านิยมที่สุด ซึ่งชุดแรกที่เราซื้อมา เราต้องสั่งมาจากต่างประเทศ … จะพูดว่าเราเป็นยุคบุกเบิกของ angelus เลยก็ว่าได้นะ (หัวเราะ)
นอกจากในด้านของงานเพนท์แล้ว ผมเห็นพี่ฝึกฝีมือไปจนถึงจุดที่พี่เปลี่ยนวัสดุรองเท้าด้วยตัวเองได้แล้ว ขั้นตอนตรงนี้มีความยากง่ายและเรียนรู้อย่างไรครับ ?
ยุคที่เราบ้าเพนท์ช่วงนั้น เราเกือบตาย เพราะสุดท้ายเราดมสีเหล่านี้เป็นเวลานาน จนทำให้เราป่วยและต้องพักรักษาตัวอยู่เกือบปี ตอนนั้นก็เป็นจุดที่เราคิดจะเลิกทำอาชีพนี้อยู่เหมือนกัน …
อยู่มาวันหนึ่งก้อยเปิดงานของทางฝั่งประเทศอังกฤษให้เราดู ซึ่งที่นั่นเขาไปถึงจุดที่เริ่มเปลี่ยนวัสดุของรองเท้าด้วยตัวเองแล้ว เราตื่นเต้นมาก และเมื่อศึกษาจากตรงนั้น มันก็เริ่มทำให้เรามีไฟกับงานนี้ขึ้นมาอีกครั้ง
แล้วเราก็ค้นพบว่า อาจารย์ที่ดีที่สุดในเรื่องนี้ กลับเป็นคุณอาของเราเอง ซึ่งมีอาชีพเป็นนักเย็บรองเท้าผู้หญิง เขาเป็นคนสอนให้เรารู้จักแพทเทิร์นของรองเท้า และประกอบเรียบเรียงมันได้อย่างถูกต้องและเป็นระบบ
พอเราเริ่มได้เรียนรู้การแกะ , การเปลี่ยนวัสดุ เราก็เริ่มซ่อม เริ่มประยุกต์วัสดุและการใช้งานทุกอย่าง เราก็เริ่มมาลองทำดู ซึ่งในช่วงแรก ๆ เราทำรองเท้าเสียไปเยอะอยู่เหมือนกัน แต่ข้อดีของตรงนั้นคือ เราเริ่มเรียนรู้ในเรื่องของงานประกอบรองเท้า ซึ่งมันศาสตร์ที่ทำให้เราเรียนรู้จากตรงนี้ได้เยอะ เราเริ่มเข้าใจว่าทำไมงานดีไซน์ของแต่ละถึงเป็นแบบไหน อย่างไร ซึ่งเป็นเรื่องที่สุดยอด
ซึ่งหลังจากนั้น เราก็ค้นพบว่า ครูที่ดีของเราบางคนอยู่ใกล้ตัวเรามาก ๆ คุณรู้มั้ยว่าช่างซ่อมรองเท้าข้างถนนบางท่านนี้ ฝีมือระดับอาจารย์เลยนะ (ยิ้ม)
ช่วงนี้มีรองเท้ารุ่นไหน ที่มีลูกค้าส่งมาให้พี่ทำเยอะที่สุด ?
หนีไม่พ้น Yeezy หรอกนะ (หัวเราะ) ส่งมาแบบไม่หยุดหย่อนเลย … แตกต่างจากเมื่อสิบกว่าปีที่แล้วมาก ๆ ยุคนั้นมันจะเป็น Nike Dunk , Nike Air Force 1 , Converse ซะส่วนใหญ่ ทำให้เราเห็นความแตกต่างของยุคเหมือนกันนะ ว่าสมัยนี้คนไทยเล่นรองเท้ากันแรงมากขึ้น …
พี่คิดว่าเทรนด์การคัสตอมรองเท้าในอนาคตจะเป็นอย่างไรครับ ?
เรารู้สึกว่าความเป็น Unique คือสิ่งสำคัญ อย่าคิดว่าคนไทยไม่อินนะ เพราะจากงานที่เราได้รับมาเรารู้สึกว่างานมันเริ่มแปลกและสนุกยิ่งขึ้นไปทุกขณะ เรารู้สึกตื่นเต้นทุกครั้ง เพราะเวลาเราทำมันคือการคัสตอมรองเท้าคู่เดียวในโลก ซึ่งมันจะเป็นรองเท้าที่สะท้อนเอกลักษณ์ของคนคนนั้นตลอดไป
อีกอย่างหนึ่งที่น่าสนใจคือความเป็น Multifunction รองเท้าจะทำได้มากกว่าการเป็นเครื่องแต่งกายในอนาคต ไม่ว่าจะเป็นการใส่จอภาพที่จะเปลี่ยนภาพทุกย่างก้าวที่เดิน หรือไม่ว่าจะเป็น
วัสดุที่พี่ใช้ในการคัสตอมรองเท้าตอนนี้ ส่วนใหญ่มีอะไรบ้างครับ ?
หนังปลานิล , หนังงู , หนังแกะ , ผ้าไหม และอื่น ๆ อีกมากมายเลย
ถ้าอย่างนั้นแล้ว ส่วนตัวพี่คิดว่ารองเท้ารุ่นไหนมีเทคโนโลยีน่าตื่นตาตื่นใจที่สุดครับ ?
ซีรี่ย์แอร์จอร์แดน ทำให้เราตื่นเต้นอยู่เสมอ เพราะเขาไม่หยุดพัฒนาเลยจริง ๆ ไม่สิ … ต้องพูดว่าเขาคิดมาได้ดีตั้งแต่แรกเลยดีกว่า ซึ่งโมเดลที่เราชอบที่สุดของซีรี่ย์แอร์จอร์แดนคือ Air Jordan 11 นะ เราว่าเขาออกแบบมาได้ดีสมบูรณ์แบบ ทั้งในเรื่องของสมรถนะการใช้งาน และความสวยงามของมัน
ที่พี่ได้อันดับที่ 15 ของโลก ใครเป็นคนจัดอันดับเอาไว้ครับ ?
มีชื่อกลุ่มว่า Paintorthread ซึ่งเป็นการรวมตัวของเหล่าช่างคัสตอมรองเท้า แล้วก็จะมีตัวหัวหน้ากลุ่มเองนี่แหละคอยจัดอันดับของพวกเราเอาไว้ โดยสมาชิกจะมีอยู่ทั่วโลก ซึ่งในตอนนี้ก็น่าจะมีถึง 300-400 คนแล้ว
เบื่องานที่ทำบ้างมั้ยครับ ?
ไม่มีวันไหนที่เราเบื่อกับงานที่เราทำเลย และเราไม่เคยรู้สึกว่ามีงานไหนยากเป็นพิเศษด้วย เรามีความสุขกับสิ่งที่เราทำมาก !
ฝากอะไรถึงคนรุ่นใหม่ที่สนใจในการคัสตอมรองเท้านิดนึงครับ ?
ทุกอย่างถ้าเกิดขึ้นจากความตั้งใจมันจะประสบความสำเร็จ … เรารู้สึกว่าเด็กสมัยนี้สามารถเข้าถึงแหล่งข้อมูลในศาสตร์แขนงนี้ได้ดีกว่าคนรุ่นเราแล้ว ถ้ามีความมุ่งมั่นจริง ๆ พวกคุณจะสามารถพัฒนาฝีมือให้มาถึงจุดที่เหนือกว่าเราได้อย่างแน่นอน
แล้วหลังจากนี้จะเดินทางร้าน WHAT's SHOP ไปทางไหนต่อครับ ?
สร้างสรรค์ผลงานต่อไปเรื่อย ๆ และหวังว่าผลงานของเราจะออกสู่สายตาเหล่าคนรักรองเท้าสนีกเกอร์มากขึ้น ตอนนี้เราจะหันมาจริงจังกับเว็บเพจ Facebook และ Instagram ก็ขอให้มิตรรักแฟนเพลงทุกท่านติดตามเราด้วยนะครับ (ฮ่าๆ)
เมื่อได้อ่านบทความดังกล่าวกันไปแล้ว เราเชื่อมั่นว่าหลาย ๆ ท่านก็คงได้รับพลังงานด้านบวกจากเขาคนนี้ไปไม่น้อย เพราะสิ่งที่เขาสร้างสรรค์และหมั่นทำออกมานั้น คือสิ่งที่เขารัก , มุ่งมั่น และหมั่นฝึกฝนอยู่เสมอ และทางเราหวังเป็นอย่างยิ่งว่า จะมีคนไทยสนใจในศาสตร์การคัสตอมรองเท้ากันมากขึ้น