Your Choices. Your Actions. That's What Makes You Who You Are.
การกลับมาอีกครั้งของบุรุษชุดฟ้ากางเกงในแดง Superman ในยุคใหม่ของ DCU ภายใต้การดูแลของผู้มากวิสัยทัศน์อย่าง James Gunn ที่เคยสร้างความประสบความสำเร็จให้กับ MCU ในฐานะผู้สร้างทีม Guardian of the Galaxy มาแล้ว
เป็นเวลากว่า 3 ปีแล้ว ที่ชาวโลกได้รู้จักกับ Superman (David Corenswet) ซุปตัวบั๊กของจักรวาลที่ เขาออกช่วยเหลือผู้คน และเป็นที่รักของชาวโลก จนกระทั่ง Lex Luthor (Nicholas Hoult) มหาเศรษฐีอัจฉริยะต้องการจะกำจัดเขาออกไปจากโลก ได้เริ่มปูแผนการทำลายล้าง Superman จากความไร้เดียงสาของตัวเอง

ตัวหนังถูกเล่าแบบสปีด x3 ในช่วงต้นของเรื่องเพื่อให้เราได้เข้าใจ Setup ของโลกนี้ และตัวตนของ Clark Kent กับ Superman ได้อย่างรวดเร็ว ไม่มีช่วงการเล่าที่ดึงเวลาจนทำให้เราต้องเบื่อ เพราะบทสนทนาทุกครั้งต่างมีความหมายที่ชัดเจน และดึงดูดให้เราอยู่กับซีนนั้น เหมือนกับการซัดกันหมัดต่อหมัด แต่มันคือการซัดกันผ่านคำพูด ทุกอย่างถูกอัดไว้อย่างพอดีในเวลา 2 ชั่วโมง 9 นาที ซีนแอคชั่นที่โดดเด่น สร้างความประทับใจให้กับคนดูได้อย่างที่หวังด้วยกลิ่นไอของการตะลุมบอลสุดวายป่วงตามสไตล์ James Gunn หลายสิ่ง ๆ นี้รวมกันออกมาเป็นหนังลูกผสมที่มีเอกลักษณ์เป็นของตัวเอง จนพวกเราอาจจะมั่นใจได้ว่าในเรื่องต่อ ๆ ไป จะได้พบกับรสชาติใหม่ของจัดรวาล DCU

แต่ถึงจะพูดไปแบบนั้น ก็อดคิดไม่ได้ว่าพอมีการเปรียบเทียบระหว่าง DCEU ที่เป็นของเก่าของ Zack Snyder และ DCU ที่เป็นของสดใหม่ในรสมือที่พวกเราคุ้นเคยของ James Gunn ทำให้ภาพลักษณ์ และความคาดหวังต่อการเปลี่ยนไปของจักรวาลฮีโร่ DC ถูกตั้งความหวังไว้เป็นอย่างมาก และเมื่อตัวหนังออกมาเราก็ได้เห็นถึงความเปลี่ยนแปลงไปเป็นคนละขั้วของจักรวาลนี้ จากความมืดหม่นที่ต่อให้เปิดไฟฉายดูยังรู้สึกเลยว่าทำไมมันวังเวงขนาดนี้ กลายเป็นภาพลักษณ์สดใสสีสันฉูดฉาด สาดความตลก และความน่ารักของตัวละครอย่างเต็มที่ ลบภาพการหยุดต่อยกันเพราะชื่อแม่ออกไปจากหัวได้ใน 2 ชั่วโมง

ถึงแม้ว่าการเปิดตัวของ Superman ในครั้งนี้จะเล่าเรื่องความเป็นมาเป็นไปอย่างรวดเร็ว และเข้าข้อมากขนาดไหน สุดท้ายแล้วเราก็ยังคงต้องยอมรับกับตัวเองว่า เรายังติดอยู่กับการเริ่มต้นใหม่อีกครั้งของจักรวาลนี้ที่ทำมาแล้วไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้งจนทำให้ต้องแอบถอนหายใจ และภาวนากับเรื่องนี้ว่า ขอให้มันเป็นครั้งสุดท้ายสักทีของ DCU ที่จะต้องถูกนำกลับมาทำซ้ำแล้วซ้ำเล่ากับตัวละครเดิม ๆ เพื่อที่จะได้มองเห็นพัฒนาการของตัวละคร ได้สนุกไปกับการเห็นตัวละครที่เรารักปรากฎตัวในจักรวาลนี้ โดยไม่ถูกเอาไปเร่งสปีดและปู้ยี่ปู้ยำจนตัวละครช้ำใน ส่วนคนดูต้องนั่งช้ำใจกอดตุ๊กตา Henry Cavill ร้องไห้
การกลับมาครั้งนี้ของ Superman ที่อยู่ในมือของ James Gunn ยังคงถูกใช้เป็นกระบอกเสียงแทนสถานการณ์ใหญ่ของโลกจริงของเรา การเกิดสงคราม การถูกมองต่างในฐานะของคนต่างด้าว แต่ในครั้งนี้สารที่สื่อออกมานั้นชัดเจน และจับต้องได้ง่ายมากกว่าครั้งก่อน จึงอาจเป็นเพราะจุดนี้้ จึงทำให้สามารถกุมความรู้สึกของทุกวัยได้ ในฝั่งของผู้ใหญ่ก็สามารถเข้าใจสิ่งที่หนังจะสื่อ และในฝั่งของเด็กก็สามารถสนุกไปกับเรื่องราวได้เช่นกัน นอกจากนี้ยังมีอีกหลายซีนที่ James Gunn ได้สอดแทรกมุกจิกกัดอีกมากมายไว้ในหนังตามสไตล์ของเขา

ในตัวของนักแสดงนอกจาก David Corenswet ที่ได้มารับบทเป็น Clark Kent / Superman กับ Nicholas Hoult ที่รับบทเป็น Lex Luthor ที่ยอดเยี่ยม แล้วยังได้ Rachel Brosnahan มารับบทเป็น Lois Lane แฟนสาวของ Superman ด้วยความทรงเสน่ห์ของเธอ ทำให้เราอยากจะแนะนำซีรีส์ The Marvelous Mrs. Maisel จาก Prime Video ที่เธอได้รับบทเด่นของเรื่องให้ได้ชมกันถือซะว่าประเดิมแก่ทุกท่าน รวมถึง Justice Gang และเหล่า Metahumans ทั้งหลาย Edi Gathegi (Mr. Terrific), Nathan Fillion (Guy Gardner / Superman), Isabela Merced (Hawkgirl) ที่เด่นที่สุดคงไม่พ้น Ozu หมาสุดที่รักของ James Gunn ที่นอกจากจะเป็นแรงบันดาลใจให้ Krypto แล้ว น้องยังเป็นต้นแบบโมเดลอีกด้วย รวมถึงรายชื่อนักแสดงจากแก้ง Guardian of the Galaxy ที่ยกกันมาเป็นโขยงกันมาแอบแฝงตัวตามซีนต่าง ๆ ให้ได้หายคิดถึง
ในส่วนสุดท้ายที่อยากจะพูดถึงคือ พาร์ทของความเป็นมนุษย์ของ Superman ที่พูดถึงการถูกเลี้ยงดูโดยครอบครัวที่รัก และเข้าใจในตัว “คนคนหนึ่ง” ได้อย่างดี เป็นส่วนที่ทำให้ประทับใจมากในหนังเรื่องนี้ ถึงจะมีบทที่ได้เข้ามาร่วมในเฟรมจะน้อย แต่มันมากซะจนจับใจได้จริง ๆ

อยากแนะนำให้ทุกคนได้ไปลองรับประสบการณ์ใหม่แห่ง DCU ภายใต้การนำทัพของ James Gunn ซึ่งนี่เป็นเพียงหมุดหมายแรกของ Phase 1 แห่ง Gods and Monsters ที่จะมีหนังเรื่องอื่น ๆ อีกมากมายตามมาเป็นขบวน ไปรับชมในโรงภาพยนตร์ได้เลยวันนี้
