Hope is not a strategy.
จากกระแสที่กระเพื่อมมาอย่างต่อเนื่องของ F1 วันนี้ ได้ลุกลามเข้ามาสู่โรงภาพยนตร์อย่างเป็นทางการ F1 The Movie ภาพยนตร์แข่งรถที่โดนเด่น และถูกพูดถึงที่สุดในยุคสมัยนี้ เพราะมันไม่ใช่แค่เรื่องว่าใครที่อยู่หลังพวงมาลัย แต่มันคือการจุดความหวังในใจที่ถูกปิดไว้ และการผลักดัน
Sonny Hayes (Brad Pitt) อดีตนัดแข่งที่เกือบจะได้เป็นดาวรุ่ง แต่ต้องหายจากวงการไปนานถึง 30 ปี ได้กลับมาอยู่หลังพวงมาลัยบนสนามแข่ง F1 อีกครั้ง ด้วยความไว้ใจของ Ruben Cervantes (Javier Bardem) เพื่อนเก่าของเขา ในทีม APXGP ที่กำลังเข้าตาจน และอาจจะต้องขายทีมถ้าหากไม่สามารถชนะการแข่งขันได้ ในขณะที่นักขับเบอร์ 1 อย่าง Joshua Pearce (Damson Idris) ที่รู้เรื่องราว ก็พยายามทุกทางเพื่อหาทางรอดจากสถานการณ์ย่ำแย่นี้

ภายในเรื่องแสดงให้เห็นว่าตัวละคร Sonny เป็นคนที่มีประสบการณ์มาก ถึงแม้ว่าการแนะนำ และการกระทำของเขาจะทำให้ทีมต้องเข้าไปอยู่ในสถานการณ์สุ่มเสี่ยง แต่ก็แลกมากับผลลัพธ์ที่สิ่งนั้นจะทำให้ทีมหนีจากจุดตกต่ำของทีมอย่างก้าวกระโดด ซึ่งการกระทำนี้มันโคตรที่จะ Sonny เลย การวางเดิมพันกับทุกอย่างแบบ High Risk, High Return นอกจากที่ Sonny จะต้องนำพาทีมออกจากจุดตกต่ำแล้ว เขายังคิดถึงการผลักดันเบอร์ 1 ของทีมอย่าง JP (Joshua Pearce) ที่กำลังพยายามกอบกู้ชื่อเสียงของตัวเอง ให้กลับมาร่วมกอบกู้ชื่อเสียงของทีม และนำทีมต่อไปได้ในวันที่ Sonny ไม่อยู่แล้ว

ภายในเรื่องแสดงให้เห็นว่าตัวละคร Sonny เป็นคนที่มีประสบการณ์มาก ถึงแม้ว่าการแนะนำ และการกระทำของเขาจะทำให้ทีมต้องเข้าไปอยู่ในสถานการณ์สุ่มเสี่ยง แต่ก็แลกมากับผลลัพธ์ที่สิ่งนั้นจะทำให้ทีมหนีจากจุดตกต่ำของทีมอย่างก้าวกระโดด ซึ่งการกระทำนี้มันโคตรที่จะ Sonny เลย การวางเดิมพันกับทุกอย่างแบบ High Risk, High Return นอกจากที่ Sonny จะต้องนำพาทีมออกจากจุดตกต่ำแล้ว เขายังคิดถึงการผลักดันเบอร์ 1 ของทีมอย่าง JP (Joshua Pearce) ที่กำลังพยายามกอบกู้ชื่อเสียงของตัวเอง ให้กลับมาร่วมกอบกู้ชื่อเสียงของทีม และนำทีมต่อไปได้ในวันที่ Sonny ไม่อยู่แล้ว
นอกจากปัญหาการกระทบฝีปากของวัยรุ่นกับวัยลุงแล้ว Sonny ยังต้องปรับจูนทีมเวิร์ค อัตตา และความกดดันในทีม ที่เกือบจะไม่ได้มองไปในทางเดียวกัน ให้หันกลับมาโฟกัสแค่จุดเดียว คือชัยชนะ

F1 The Movie มอบประสบการณ์ที่ครบรสให้กับคนดู ทั้งมัน ตลก กดดัน และความโรแมนซ์ แต่ที่สัมผัสได้มากหน่อยดูเหมือนจะเป็นเรื่องความมัน ในซีนที่อยู่บนสนามแข่ง ให้ความรู้สึกราวกับว่าเราได้เข้าไปเป็นนักแข่งจริง ๆ ความเร็วในระดับที่การตัดสินใจด้วยสมองของคนทั่วไปตัดสินใจไม่ทัน มันมอบประสบการณ์ที่ไม่ว่าชาติไหน ๆ เราก็ไม่สามารถจะได้สัมผัส สิ่งนี้เสริมความสนุกให้กับหนังเป็นอย่างมาก พร้อมกับความกดดันที่พ่วงมาเกือบทุกครั้งในสนามแข่ง 2 สิ่งนี้เป็นส่วนที่ทำให้เราคิดว่าได้แข่งขันอยู่จริง ๆ ซึ่งภาพยนตร์ทำได้ออกมาดีจนรู้สึกเต็มอิ่มเมื่อเดินออกมาจากโรง
สารภาพตามตรงจากคนที่ไม่ได้รู้จัก และเข้าถึงความสนุกของ F1 บวกกับความขี้เกียจในการศึกษา F1 ก่อนเข้าดูเลยมีความกังวลว่า เราจะอินไปกับมันได้แค่ไหนกันนะ แต่แค่ไม่ถึง 5 นาทีของการดู ภาพยนตร์ก็ทำให้เราสลัดความรู้สึกกังวลว่าจะดูไม่สนุกออกไปได้อย่างหมดจด และเสิร์ฟความโชเน็นสไตล์ Hollywood แบบเข้าถึงจัดเต็มให้เราไปตลอดทั้งเรื่อง ในระหว่างทางที่กำลังดูแอบมีแวบนึงที่แอบไปนึกถึงการอ่านมังงะขึ้นชื่ออย่าง Eyeshield 21 (ไอ้หนูไต้ฝุ่นมะกันบอล) ของอาจารย์ Yusuke Murata กับอาจารย์ Riichiro Inagaki ที่พาเราโอบรับวัฒนธรรมใหม่อย่างกีฬา American Football โดยย่อยมันออกมาให้ใครต่อใครก็เข้าใจได้ง่าย และสนุกไปกับมันได้แบบไม่ติดค้างใจ

นอกจาก Brad Pitt ที่มารับบทนำแล้วยังมีดาราสมทบที่มาสร้างมิติต่าง ๆ ให้กับภาพยนตร์อีกมากมาย ทั้ง Javier Bardem เพื่อนรักคู่หูคู่กัดผู้กลับมาลาก Sonny ออกจากวงจรซ้ำซาก และสร้างโอกาสที่จะทำให้พวกเขากลับมาเปร่งประกายอีกครั้ง Damson Idris นักขับเบอร์ 1 ของทีมที่เชื่อมั่นในความสามารถของตัวเอง แต่ยังคงสับสนว่าจะพาทีมให้รอด หรือจะเอาตัวรอดไปคนเดียว Kerry Condon ที่มารับบทเป็น Kate McKenna ในตำแหน่ง Technical Director ประจำ APXGP ที่มาสร้างช่วงเวลาที่สบายใจ และรู้สึกปลอดภัยให้กับตัวเอกของเรา Tobias Menzies หนึ่งในบอร์ดบริหารที่พร้อมจะขายทีมตลอดเวลา และเป็นก้างชิ้นใหญ่กับคนที่ไม่ยอมแพ้ต่อ APXGP และคนที่ขาดไม่ได้ Sarah Niles ที่มารับบทเป็น Bernadette แม่ของ JP ที่คอยให้คำแนะนำกับลูกชายที่กำลังมีท่าทีเหมือนจะหลงทางอยู่ตลอด
ปฏิเสธไม่ได้ว่าบทภาพยนตร์ไม่ได้โดดเด่นมาก แต่กับงานสร้างนั้นเป็นเหมือนการก้าวข้ามมาสู่โลกใบใหม่ ของวงการภาพยนตร์จาก APPLE ทั้งการร่วมกันของ FIA (Fédération Internationale de l’Automobile) ที่เข้ามาช่วยควบคุมการถ่ายทำในช่วงเวลาจริงของการแข่งขัน พ่วงไปด้วยการขึ้นแท่น Producer ครั้งแรกของ Lewis Hamilton ตำนานแชมป์ F1 ถึง 7 สมัย ที่เข้ามาช่วยให้คำปรึกษาต่าง ๆ เพื่อทำให้ภาพออกมาสมจริงยิ่งขึ้น ส่วนในฝั่งของการถ่ายทอดก็ได้ Claudio Miranda มาเป็น Director of Photography หลังจากที่ได้ถ่ายทอดภาพบนเครื่องบินรบสู่สายต่อคนดูใน Top Gun: Maverick ในครั้งนี้กล้องที่เขาใช้ต้องประกอบขึ้นมาใหม่สำหรับติดลงบนรถเพื่อมอบอรรถรสสุดมันให้กับคนดูอีกครั้งเช่นกัน ในส่วนของ Composer ก็ได้ Hans Zimmer เข้ามาเสริมทัพในฝั่งของเรื่องเสียงที่ดีสุด ๆ ก็คงไม่พ้นซีนที่บีบหัวใจ ทำให้เรารู้สึกราวกับว่าหัวใจเราโหวงไปพร้อมกับตัวละครในเรื่อง และในส่วนของผู้กับกำอย่าง Joseph Kosinski ก็ได้กระโดดจากเครื่องบินรบ สู่สนามแข่งรถสูตรหนึ่ง ที่นำทีมจับรถสูตรสองมาปรับแต่งจนกลายเป็นการถ่ายทำที่สามารถสร้างมาตรฐานใหม่ให้กับวงการภาพยนตร์
สำหรับคนที่ยังกังวลว่ากลัวจะเข้าไปดูแล้วไม่อินกับหนังแข่งรถ คงต้องบอกว่าไม่มีอะไรใหใ้กังวล เพราะหนังเรื่องนี้จะค่อย ๆ พาเราไปทำความรู้จัดกับวงการ F1 อย่างเรียบง่าย ให้เราได้ค่อย ๆ ซึมซับความรู้สึก และสนุดไปกับมันได้โดยที่เราไม่รู้ตัว เราอแนะนำให้ได้ไปลองรับรสชาติสุดแปลกใหม่จาก F1 The Movie ในโรงภาพยนตร์ ตอนนี้ แล้วคุณจะไม่ต้องรู้สึกเสียดายที่ไม่ได้ดูในโรงตอนที่นั่งดูอยู่ในสตรีมมิ่ง
