Madsaki ศิลปิน Street Art อีกคนหนึ่งที่น่าจับตามองมาก ถ้าใครเป็นเด็กสตรีทตัวจริงก็คงจะต้องรู้จักเขาอย่างแน่นอน เมื่อ 10 ปี ที่แล้ว เขาได้รวมงานกับแบรนด์สตรีทจากเกาะฮ่องกงอย่าง Clot ทำให้ลาย Alienegra ดังแบบสุดๆในยุดนั้น จนมาในวันนี้ เขาได้กลายเป็นอีกหนึ่งศิลปินที่ได้การยอมรับจาก Takashi Murakami เรียกได้ว่าตอนนี้อะไรก็ฉุดไม่อยู่แล้วจริงๆ
สำหรับเพื่อนๆที่อยากทำความรู้จักกับ MADSAKI มากขึ้น วันนี้เราได้นำบทสัมภาษณ์แบบพิเศษสุดๆมาฝากเพื่อนๆกัน ไปทำความรู้จักกับ Street Artist ชื่อดังคนนี้พร้อมๆกันเลย
อะไรเป็นแรงบันดาลใจให้ทำงานศิลปะ? และช่วยอธิบายสไตล์ของคุณในปัจจุบันให้เราฟังหน่อย
เริ่มต้นตอนที่ผมต้องย้ายไปอยู่ อเมริกา ตอนอายุหกขวบ ในตอนนั้นผมไม่สามารถพูดภาษาอังกฤษได้ ผมเลยใช้การวาดรูปในการสื่อสารแทน มันเลยทำให้ผมชอบวาดรูปมาโดยตลอด
เราเห็นว่าคุณจบจาก Fine art, Parson School of Design แต่งานของคุณมักจะนำผลงานที่มีอยู่แล้วมาสร้างใหม่ เพราะอะไรคุณถึงเลือกจะทำแบบนี้แทนที่จะสร้างผลงาน Original ใหม่ขึ้นมาเองเลย?
นี้เป็นคำถามที่ดีเลยนะ ผมก็ทำผลงาน Original ของตัวเองมาโดยตลอด แต่ผมยังไม่รู้สึกว่ามันเป็นตัวของตัวเองเท่าไหร่ ผมเลยตัดสินใจจะลองใช้ผลงานที่มีอยู่แล้วนี้แหละ มาเปลี่ยนเป็นแบบฉบับของผม
แล้วการที่ได้ใช้ชีวิตอยู่ในหลากหลายวัฒนธรรม มันมีผลต่อการเป็นศิลปินของคุณในทุกวันนี้หรือเปล่า?
จะว่าไปมันก็มีผลนะ เพราะได้รับรู้วัฒนธรรมมากกว่าคนอื่นเขา และผมก็ตัดสินใจเองได้ว่าสิ่งไหนดี สิ่งไหนไม่ดี ผมก็จะเลือกแต่สิ่งที่คิดว่ามันมันเป็นตัวผมมากที่สุด เพื่อที่จะเอามาสร้างสรรค์งานศิลปะของผม
เราเห็นว่าผลงานของคุณจะได้รับแรงบันดาลใจมาจากหนังเรื่องต่างๆอยู่ไม่น้อย หนังเรื่องไหนที่คุณชอบมากที่สุด และคุณได้สร้างสรรค์ผลงานจากหนังเรื่องนั้นหรือเปล่า?
จริงๆแล้วถ้าให้พูดถึงหนังเรื่องโปรด ผมมีเยอะมากๆเลย เพราะผมเป็นคนดูหนังเยอะมาก แต่ถ้าเรื่องที่ชอบที่สุดก็คงจะเป็น Good Fellas นี่แหละเรียกได้ว่าดูจนนับไม่ถ้วนเลยทีเดียว ส่วนผลงานที่ผมได้แรงบันดาลใจจากเรื่องนี้ก็มีโชว์อยู่ด้านล่างนี้แหละ เป็นฉากที่ผมชอบที่สุด อยากให้ทุกคนลองลงไปดูได้
เราสังเกตเห็นในบางผลงานของคุณ ตรงดวงตามักจะมีเหมือนสีหยดลงมา ทำให้ความรู้สึกเหมือนน้ำตาไหล มันมีความหมายอะไรซ่อนอยู่ไหม?
เวลาผมสร้างสรรค์ผลงานผมจะใช้สเปรย์ เวลาพ่นถ้าเราพ่นลงไปบนสิ่งที่เราวาดอยู่ยังไงมันก็ต้องหยด นั่นแหละมันก็คือที่มา ก็แค่สีหยดนั่นเอง จริงๆแล้วมันก็มีความหมายอยู่นะ แต่ผมให้พวกคุณไปคิดกันเอาเองดีกว่านะ ว่าความหมายมันคืออะไร
คุณได้ชื่อ MADSAKI มาได้อย่างไร?
ตอนอยู่นิวยอร์คในปี 1999-2004 ผมได้เป็นแมสเซ็นเจอร์แบบขี่จักรยาน เวลาหลังเลิกงานผมก็ชอบออกไปดื่มกับเพื่อนๆ และเดิมแล้วผมชื่อว่า Masaki เพื่อนๆก็เห็นว่าผมเป็นคนชอบดื่มสาเกมาก ก็ได้เปลี่ยนเป็น Madsaki และตัวผมเองก็ชอบมาก เลยใช้มันตั้งแต่นั้นมาเลย
ตื่นเต้นมั้ยกับการแสดง Exhibition ที่ประเทศไทยในครั้งนี้?
ตื่นเต้นมากๆ ผมรู้สึกดีใจมากที่ได้มาประเทศไทยและผมก็ชอบอาหารไทยมากๆด้วย
แล้วคุณได้มาจัดนิทรรศกาลในครั้งนี้ที่ประเทศไทยได้อย่างไร?
เทศกาลทั้งหมดนี้จะไม่เกิดขึ้นเลยถ้าไม่มี เต้ บรม พิจารณ์จิตร ผมได้เจอเขาในงาน Kaikai Kiki ของ Takashi Murakami และเขาก็ได้ชักชวนผมมาออกงานในครั้งนี้
ในงานครั้งนี้เราจะได้เห็นอะไรจากผลงานของคุณบ้าง และมีอะไรที่อยากจะสื่อถึงคนดูผ่านงานครั้งนี้?
Exhibition นี้ผมได้นำเสนอทุกสไตล์ของผมเลย ไม่ว่าจะเป็นประโยคต่างๆ การ์ตูน หรือหนังเรื่องต่างๆก็จะอยู่ในงานนี้หมด เหมือนชื่อของงานในครั้งนี้ก็คือ Combination Platter มาจากชื่อเมนูอาหารที่มีหลายอย่างอยู่ในจานเดียว มันทำให้การมางานในครั้งนี้จะได้เห็นผลงานของผมในทุกๆแบบที่นี่ที่เดียว
ส่วนงานครั้งนี้ก็ไม่มีอะไรจะสื่อเป็นพิเศษ ก็แค่อยากจะให้ทุกคนสนุกไปกับศิลปะของผมในมุมมองของคุณเองก็แค่นั้น
เห็นว่าหนึ่งในผลงานชิ้นเอกของคุณมีการ์ตูนอยู่เยอะแยะมากมาย ทำไมการ์ตูนถึงมีอิทธิพลต่อผลงานของคุณเป็นอย่างมาก?
มันคงเป็นเพราะว่าผมเติบโตมกับการดูการ์ตูน ไม่ว่าจะเป็นการ์ตูนจากญี่ปุ่นหรืออเมริกาผมก็ชอบทั้งหมด และผมก็คิดว่าตัวการ์ตูนตัวนึงมันก็เป็นผลงานศิลปะเหมือนงานของ Davinci เลยนะ เขาจึงเลือกมันมา Mash-Up ในแบบของตัวเอง
ลองอธิบายความหมายของการ์ตูนซักตัวในผลงานของคุณได้ไหม ว่ามันสื่อถึงอะไรบ้าง?
Sesame Street ผมเชื่อว่าก็คงเป็นการ์ตูนในวัยเด็กของหลายๆคน สำหรับผมมันคือที่เรียนภาษาอังกฤษเลยแหละ แต่ในผลงานของผมเจ้า Big Bird จะถือกระดาษที่เขียนคำว่า “Fuck Off” ซึ่งถ้าเป็นในการ์ตูนของเขาจริงๆจะไม่มีคำหยาบแบบนี้แน่นอน เพราะมันเป็นการ์ตูนสอนภาษาของเด็กๆ แต่ผมเอามาทำแบบนี้เพราะผมอยากจะสื่อมันมาในรูปแบบของผมอย่างนี้แหละ
แล้วอีกผลงานที่เขียนชื่อ MADSAKI ที่ตั้งอยู่ในงานนี้ ได้แรงบันดาลใจมาจากไหน?
เอาจริงๆเลยนะ Murakami เป็นคนบอกให้ผมทำ ผมก็สงสัยอยู่เหมือนกันว่าทำไม แต่เขาได้บอกว่าคนจะได้รู้จัก Madsaki มากขึ้น ผมก็เลยสร้างมันขึ้นมา
ผลงานที่นำมาแสดงในครั้งนี้มีอะไรอยากนำเสนอเป็นพิเศษไหม?
ก็จะเป็นผลงานใหม่ที่ไม่เคยโชว์ที่ไหนมาก่อนอย่างตัวชื่อ MADSAKI และภาพวาดบนผืนผ้าใบสีแดงและน้ำเงิน ส่วนภาพวาดการ์ตูนที่ใหญ่ที่สุดนั้นเคยโชว์แต่ที่ Vancouver, Canada และ Complex Con ปีที่แล้ว ไม่เคยจัดแสดงที่ไหนในเอเชียมาก่อนเลย ที่ประทศไทยนี่เป็นที่แรกที่ได้เห็นเลย
คุณกับ Takashi Murakami รู้จักกันได้อย่างไร แล้วทำไมถึงได้มาร่วมงานกัน?
Murakami ผมถือให้เขาเป็นทั้งอาจารย์และเจ้านายของผมเลย เรารู้จักกันผ่าน Instagram นี่แหละ ตัวผมก็ต้องรู้จักเขาอยู่แล้ว ดังสะขนาดนั้น อยู่ดีๆวันนึง Murakami ก็มาตาม IG ผมแล้วก็ Comment ลงในรูปภาพงานศิลปะของผมว่า “I Wanna buy it!!” นั้นแหละคือจุดเริ่มต้น หลังจากนั้นผลงานก็ได้ไปโชว์อยู่ในแกลเลอรี่ แล้วผมก็ไปงานนั้น ผมไม่ได้ถูกเชิญนะแต่ผมก็ไปเพื่อที่จะได้ไปคุยกับเขา ไปถึงก็ไปคุยกับ Murakami เขาก็งงสิครับ คุณเป็นใคร หลังจากนั้นเราก็คุยกันแล้วสุดท้ายก็ได้ร่วมงานกันเป็นตั้งแต่นั้นมา อย่างผลงานล่าสุดที่เป็นดอกไม้ Murakami ก็เป็นคนขอให้ผมทำเอง ไม่อย่างนั้นผมก็ไม่กล้าทำหรอก
แล้ววงการศิลปะในเอเชียกับทางฝั่งอเมริกาต่างกันมากไหม?
เอาจริงๆมันก็ยากทั้งคู่แหละ แต่แค่ยากคนละแบบ อย่างในอเมริกา ศิลปินมีเยอะแยะไปหมด การแข่งขันมันสูงมาก กลับกันในประเทศญี่ปุ่นมันก็ยากที่จะเลี้ยงชีวิตอยู่ด้วยอาชีพศิลปิน ตอนนี้ผมก็อายุ 44 ปี ผมวาดรูปมาตั้งแต่สมัยเรียน ชีวิตศิลปินผมมันเพิ่งเริ่มต้นจริงๆหลังจากได้รู้จักกับ Murakami คิดดูสิว่ามันยากลำบากแค่ไหน ผมเพิ่งจะรู้จักกับ Murakami ได้ประมาณ 3 ปีเอง
มาคุยกันถึงประเทศไทยกันบ้านดีกว่า คุณมาไทยครั้งแรกใช่ไหม อะไรที่เป็นอย่างแรกที่คุณประทับใจเกี่ยวกับประเทศไทย?
นี่เป็นครั้งแรกของผมเลย และสิ่งแรกที่อยากจะบอกเลยคือมันร้อนมากๆ แต่คนไทยใจดีมาก ยิ้มแย้มตลอดเวลา ถ้ามีโอกาสกลับมาอีกผมอยากออกไปข้างนอกกรุงเทพบ้าง ผมอยากไปดูธรรมชาติ
แรงบันดาลใจในการสร้างงานศิลปะของคุณได้มาจากไหน?
แรงบันดาลใจทั้งหมดของผมมันก็มาจากความจำของผมนี้แหละ ตั้งแต่สมัยเด็กทุกสิ่งที่ผ่านมาก็เป็นแรงบันดาลใจทั้งนั้น แต่จริงๆแล้วผมก็ยังไม่รู้ตัวเองเหมือนกันว่าได้แรงบันดาลมาจากไหน มันก็เป็นอีกอย่างที่ผมยังต้องหาคำตอบอยู่ทุกวัน
ถ้าคุณตื่นมาแล้วหมดแรงบันดาลใจ ไม่รู้จะสร้างสรรค์ผลงานอะไร คุณจะทำยังไง?
ผมก็จะช่างมันแล้วกลับไปนอน ถ้าเกิดมันคิดอะไรไม่ออกจริงๆก็จะพัก อย่างตอนที่ผมไปเป็น Messenger ตอนนั้นผมก็มความคิดจะเลิกทำงานศิลป้ะลยไปปั่นจักยานอยู่หลายปี สุดท้ายก็รู้แล้วว่ามันไม่ใช่ Artist มันคือตัวผมที่สุดแล้ว
แล้วใครเป็น Idol ของคุณบ้าง?
ก็คงต้องเป็น Murakami แน่นอน และ Jean-Michael Basquiat
ย้อนกลับไปเมื่อ 10 ปีก่อน เรารู้จักคุณจากผลงานที่คุณได้ทำกับแบรนด์สตรีทอย่าง Clot เราจะมีโอกาสได้เห็นงานแบบนั้นอีกไหม? ทำไมถึงเปลี่ยนมาทำ Solo Exhibition อย่างเต็มตัว?
ผมคิดว่าคงจะไม่มีอีกแล้วแหละ เพราะทำแค่งานกราฟฟิคแบบนั้นผมคงจะอยู่ไม่ได้ และผมรู้สึกว่าการทำงานศิลปะแบบนี้มันคือตัวผมที่แท้จริง