ถามพ่อก็รู้จัก ! ถามปู่ก็รู้จัก ! New Balance เป็นแบรนด์กีฬาอีกหนึ่งแบรนด์ที่ถ้าจะเล่าแต่เริ่ม ก็ต้องย้อนเวลาไปร่วม 100 ปี โดยมีจุดเริ่มต้นมาจากชายที่ชื่อว่า William J. Riley ชายหนุ่มชาวอังกฤษซึ่ง ณ ตอนนั้นอายุ 33 ปีได้อพยพเข้าไปอยู่ที่เมือง Boston, USA และได้ก่อเกิดตำนานของ New Balance ขึ้นในปี 1906
ไอเดียของ Riley นั้นมาจากรูปเท้าของไก่ ทำให้เกิดนวัตกรรมแผ่นรองรองเท้าทรงสามเหลี่ยมพร้อมจุดซัพพอร์ท 3 จุด และหลังจากผ่านไป 32 ปี รองเท้า New Balance คู่แรกก็ถือกำเนิดขึ้นในปี 1938 โดยมันถูกผลิตขึ้นเพื่อจำหน่ายให้กับ Boston Brownbag Harriers ทีมนักวิ่งท้องถิ่นของจากเมืองบอสตัน และทำเงินให้ Riley 42 เหรียญจากการขายรองเท้า 6 คู่ (คู่ละ 7 เหรียญ)
New Balance เริ่มเติบใหญ่ขึ้นมาเรื่อยๆนับจากวันแรก จนมาถึงปี 1960 ที่ New Balance “Trackster” ถือกำเนิด นับเป็นรองเท้าวิ่งที่ได้รับการวิจัยและพัฒนาเพื่อนักวิ่ง นำไปสู่โมเดลแรกที่ถูกจำหน่ายอย่างเป็นทางการ โดยมีไซส์ให้เลือกหลากหลาย
ในปี 1972 แบรนด์ได้มีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ วันที่ 18 เมษายน 1972 ซึ่งนับเป็นวัน Boston Marathon Day เทศกาลวิ่งท้องถิ่นประจำเมือง แบรนด์ New Balance ได้มีการเปลี่ยนมือไปสู่มือของ Jim Davis และเพียง 8 ปีให้หลัง New Balance ก็กลายเป็นแบรนด์ที่มียอดขาย 100 ล้านดอลล่าร์สหรัฐทั่วโลก
และส่วนหนึ่งของความสำเร็จที่แบรนด์ได้รับ ก็มาจากโมเดลที่ขึ้นชื่อว่าเป็นความคลาสสิคตลอดกาลของ New Balance อย่างโมเดล “574” นี่เอง
ช่วง 1980s นั้นเป็นช่วงเวลาที่สภาพเศรษฐกิจในอเมริกาเติบโต และรุ่งเรืองสุดๆ ทำให้เกิดไลฟ์สไตล์ของผู้คนมากขึ้นแบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ความมั่งมีของผู้คนถูกเปลี่ยนให้กลายเป็นรถ BMW, โทรศัพท์มือถือ, เครื่องเล่น VCR และ Walkman, เสื้อ Ralph Lauren ไปจนถึง Sneakers ป้ายแดงราคาหลักร้อยเหรียญ
และในยุคนั้นก็ทำให้ Footwear อย่าง New Balance กลายเป็นไอเทมที่ได้รับความนิยมด้วยคุณภาพและการพัฒนาดีไซน์ ซึ่งหลายๆโมเดลที่กลายเป็นไอคอนของแบรนด์ในภายหลัง ก็ถูกพัฒนาและออกแบบมาในช่วงนี้ ยกตัวอย่างเช่น 565, 575, 576, 577 และแน่นอน 574 ก็ด้วย
Credit: thosenb.com, kicksonfire.com, sneakerbardetroit.com
ทั้งห้าโมเดลนี้ถือเป็นซีรี่ย์รองเท้าวิ่งที่ขึ้นชื่อของ New Balance โดยที่ 565 ถูกเปิดตัวมาก่อนพร้อมกับเทคโนโลยีโฟม ENCAP และก็ตามมาด้วย 575 ที่เน้นไปที่ดีไซน์มากขึ้น ก่อนโมเดล 576 และ 577 จะพัฒนาตามมาทีหลัง และเพื่อตอบสนองเทรนด์การใส่รองเท้าเป็นแฟชั่นรวมไปถึงความสะดวกสบายที่กำลังมาในยุคนั้น นิวบาลานซ์จึงได้สร้างสรรค์โมเดล 574 ขึ้นมา โดยเป็นส่วนผสมที่ลงตัวของการฟิวชั่นโมเดล 575 และ 576
ความเจ๋งของโมเดล 574 นี้มาแรงตั้งแต่แรกเริ่ม เพราะโมเดลนี้เป็นรุ่นเดียวที่ไม่ได้รับการโปรโมทเลย โดยที่ถึงแม้รุ่นอื่นๆจะถูกโฆษณาลงตามสื่ออย่างเช่น หนังสือพิมพ์ โฆษณาพวกนี้ก็ไม่ได้มีรุ่น 574 รวมอยู่ด้วย
แต่ว่า 574 กลับกลายเป็นรุ่นที่ได้รับความนิยมอย่างรวดเร็ว ทั้งๆที่ไม่ได้รับการโปรโมทเลย ตัวรองเท้านั้นขึ้นมาอยู่ตามชั้นวางขาย และถูกตาถูกใจผู้คนด้วยสไตล์, ฟังก์ชั่น รวมถึงราคาที่ตอบโจทย์ ส่วนผสมเหล่านี้ทำให้ New Balance 574 กลายเป็นรองเท้ายอดนิยม รวมถึงเหมาะแก่การใส่ในชีวิตประจำวันด้วย
mita sneakers x New Balance MFL574 "History Gradation" Credit: Hypebeast
โมเดล NB574 นี้ดำรงความคลาสสิค โดยที่ไม่มีการเปลี่ยนแปลงรายละเอียดอะไรเลยมาถึง 15 ปีตั้งแต่วันแรกที่คลอดออกมาด้วยความลงตัวและตอบโจทย์ของผลิตภัณฑ์ แต่ถึงอย่างนั้นทีม New Balance USA ก็ไม่หยุดที่จะพัฒนาต่อไปข้างหน้า โดยที่การกำเนิดใหม่ของ 574 นั้นมีจุดประสงค์เพื่อที่จะตีตลาดเครื่องกีฬาในทวีปใหม่ ซึ่งก็คือตลาดฝั่งเอเชียนั่นเอง
ในช่วงปี 90s New Balance ได้กลายเป็นที่ชื่นชอบ ไม่ใช่แค่รุ่น 1500, 997 และ 576 Made in USA, UK ซึ่งเป็นรุ่นหายากสำหรับแฟนๆตัวจริง แต่รวมถึงตัว 574 ที่เป็นโมเดลพิมพ์นิยมก็เป็นที่ชื่นชอบไปด้วย กระแสของ 574 ได้แพร่สะพัดไปทั่ว จนก่อให้เกิดผลงานสุดพิเศษเพิ่มขึ้นมากมายภายใต้งาน Collaboration ด้วยดีไซน์เรียบง่ายของโมเดล มันก็เลยเปิดโอกาสให้หลายๆแบรนด์สามารถผสมเอกลักษณ์ของตัวเองลงไปได้อย่างลงตัว อย่างเช่น Eric Haze, mita sneakers, atmos, Undefeated, Kiks Tyo และอื่นๆอีกเพียบ
G-SHOCK x Kiks Tyo x New Balance M574J GGG "GLITTER GOLD"
ATMOS x New Balance 574J KCH "A10"
Eric Haze x New Balance M574J "HAZE"
Credit: Sneakerfreaker
จะเห็นจากชื่อ Retailer หลายๆร้านที่คอลแลปว่า New Balance ได้ประสบความสำเร็จอย่างล้นหลามในการพิชิตตลาดเอเชีย โดยเฉพาะอย่างยิ่งญี่ปุ่น Tokyo กลายเป็นเมืองที่ New Balance กลายเป็นความ Hype และเป็นสัญลักษณ์อีกอย่างของ Streetwear ไปเลย ความเติบโตนี้ทำให้ยอดขาย New Balance โตขึ้นถึง 900 เปอร์เซ็นต์ ในปี 2013 โดยที่ 1 ใน 3 เป็นยอดจาก New Balance 574 รุ่นเดียว !
Credit: ycmc.com
ปี 2018 นี้ถือเป็นปีที่ NB574 เดินทางมาถึงปีที่ 30 ในทศวรรษที่สามของโมเดลสุดคลาสสิคนี้ New Balance ก็ได้ตัดสินใจที่จะคืนชีพตัวต้นตำรับจากปี 1988 กลับมาอีกครั้งเพื่อแสดงคารวะให้กับรุ่นยอดนิยมตลอดกาลด้วยโทนสีเทาอันเป็นเหมือนโทนสีประจำแบรนด์
สำหรับนักสะสมตัวจริง โอกาสที่จะได้ครอบครอง Sneakers สุดคลาสสิคในสภาพเอี่ยมอ่องแบบนี้ ถือว่าเป็นโอกาสที่ต้องคว้าไว้เลยล่ะ !
Source: Sneakerfreaker