Intro to F1 : “พระองค์พีระ” เจ้าชายนักแข่งรถ F1 คนแรกของไทย | EP.07

ก่อนที่โลกจะได้รู้จักกับ “อเล็กซานเดอร์ อัลบอน อังศุสิงห์” (Alexander Albon Ansusinha) ที่เลือกจะลงแข่ง F1 ในฐานะนักแข่งจากสัญชาติไทย หลายคนอาจจะคิดว่าอเล็กซ์คือคนแรก แต่จริง ๆ แล้วนักแข่งสัญชาติไทยคนแรกในวงการ F1 คงต้องย้อนกลับไปร่วม 70 กว่าปีที่แล้ว ประวัติศาสตร์หน้าแรกของประเทศไทยในการแข่งขันรถสูตรหนึ่ง ถูกบุกเบิกไว้อย่างยิ่งใหญ่และงดงามด้วยความสามารถของ “พระองค์เจ้าพีระ หรือ พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าพีรพงศ์ภาณุเดช” บุรุษผู้ที่ร่วมก่อร่างสร้างตำนานการแข่งขัน F1 ชิงแชมป์โลกครั้งแรกในปี 1950 และนี่คือเส้นทางชีวิตอันน่าทึ่งของเจ้าชายนักซิ่ง ผู้เป็นต้นแบบของนักแข่งไทยหลายคน

พระองค์เจ้าพีระ ประสูติเมื่อวันที่  15 กรกฎาคม พ.ศ. 2457 เมื่อพระชันษาอายุได้ 13 ปี ท่านได้ถูกส่งไปศึกษาต่อที่โรงเรียนอีตัน ประเทศอังกฤษ ซึ่งในตอนแรกท่านมีความฝันที่จะเป็นปะติมากร เนื่องจากท่านมีพรสวรรค์ทางด้านนี้ถึงขนาดที่ผลงานปั้นของท่านได้ถูกนำไปจัดแสดงในนิทรรศการที่ Royal Academy แต่โชคชะตาก็ได้นำพาให้ท่านได้มาพบกับ “พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าจุลจักรพงษ์” (ท่านตาของ ฮิวโก้ จุลจักร จักรพงษ์) ผู้ซึ่งชักชวนพระองค์เจ้าพีระไปดูการแข่งรถ และได้โอกาสในการลองขับรถคันแรก ทำให้ท่านได้สัมผัสกับความเร็วและความตื่นเต้น ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นสำคัญในการทิ้งพู่กันและดินเหนียว เปลี่ยนแปลงมาเป็นพวงมาลัยและเครื่องยนต์

เมื่อตัดสินใจที่จะเปลี่ยนเส้นทางชีวิตของท่านเอง พร้อมทั้งการสนับสนุนจากพระองค์เจ้าจุลจักรพงษ์ ซึ่งท่านได้จัดตั้งทีมแข่งรถในชื่อ “White Mouse Garage” หรือทีมหนูขาว มีที่มาจากชื่อเล่นของพระองค์เจ้าจุลจักรพงษ์ และให้พระองค์เจ้าพีระเป็นนักแข่งมือหนึ่งของทีม โดยที่พระองค์เจ้าพีระเลือกที่จะทำสีรถด้วยสีฟ้าอ่อนตัดกับสีเหลืองและที่มาของสีฟ้านี้มาจากชุดกระโปรงของผู้หญิงคนหนึ่งชื่อ คุณบาร์บารา (Barbara Grut) ซึ่งเป็นเพื่อนสนิทชาวเดนมาร์กของทั้งพระองค์เจ้าจุลฯ และพระองค์เจ้าพีระ ในเวลาต่อมาสีฟ้าที่พระองค์เจ้าพีระเลือกมาใช้ได้โดดเด่นมากจนกลายเอกลักษณ์ของท่าน ทำให้สื่อต่าง ๆ ในต่างประเทศขนานนามสีฟ้าอ่อนนี้ว่า “สีฟ้าพีระ” (Bira Blue) ซึ่งพระองค์เจ้าพีระเริ่มต้นการแข่งขันตั้งแต่ยุคก่อนที่จะเกิด  Formula 1 อย่างเป็นทางการ

ในยุคที่เรียกการแข่งขันว่า Grand Prix พระองค์เจ้าพีระเลือกใช้รถยี่ห้อ ERA (English Racing Automobiles) เป็นรถที่สร้างชื่อเสียงให้ท่านได้อย่างมากที่สุด ซึ่งประกอบไปด้วยรถทั้งหมด 3 คัน

  1. Romulus – R2B รถที่มีสีฟ้าสดใสเป็นรถที่ท่านไว้ใจที่สุด เครื่องยนต์ทนทานและเป็นรถที่สร้างความสำเร็จให้ท่านอย่างมาก เช่น ชนะเลิศอันดับที่ 1 จากการแข่งขัน Coupe de Prince Rainier ปี 1936 ที่โมนาโก, ชนะเลิศ JCC International Trophy ปี 1936 ที่สนามบรูคแลนด์ ประเทศอังกฤษ, ชนะเลิศ Grand Prix de Picardie ปี 1936 ประเทศฝรั่งเศส, ชนะเลิศ Imperial Trophy ปี 1937 ประเทศอังกฤษ และอีกมากมาย
  2. Remus – R5B รถสำรองที่จะใช้ลงแข่งในงานแข่งขันรายการเล็ก หรือสนามที่พื้นผิวขรุขระ เพื่อถนอม Romulus ไว้แข่งงานใหญ่เท่านั้น หน้าตาของคันนี้เหมือน Romulus ทุกประการต่างกันแค่เลขตัวถังรถ
  3. Hanuman – R12B เป็นรถรุ่นที่พัฒนามาพิเศษในปี 1938 โดยการติดตั้งซูเปอร์ชาร์จขนาดใหญ่ แต่แลกมาด้วยการขับที่ยากขึ้นกว่า 2 คันแรก และได้มีการวาดรูปหนุมานถือตรีเพชรไว้ด้านข้างรถเพื่อประกาศความเป็นไทยด้วยเช่นกัน
Romulus - R2B
Remus - R5B
Hanuman - R12B

ความยิ่งใหญ่ของท่านในยุคนี้อีกอย่างหนึ่ง คือการได้รับรางวัล BRDC Gold Star ซึ่งจะมอบให้กับนักแข่งที่ทำคะแนนสะสมสูงสุดแห่งปี โดยพระองค์เจ้าพีระได้รับมาทั้งหมด 3 ปีซ้อนได้แก่ปี ค.ศ. 1936, 1937 และ 1938 จากความสำเร็จอย่างสูงของพระองค์เจ้าพีระในยุคนี้ แน่นอนว่าทีมสนับสนุนจากพระองค์เจ้าจุลจักรพงษ์นั้นสำคัญมาก ท่านทำหน้าที่เป็น ผู้จัดการทีม ที่สมบูรณ์แบบที่สุด ทั้งวางแผนการเดินทาง การขนส่งรถ คำนวณน้ำมัน จับเวลา เรียกว่าระบบของทีม White Mouse นั้นเหนือกว่าทีมยุโรปหลาย ๆ ทีมจนเป็นที่ยอมรับของทีมแข่งในวงกว้าง หลังจากปี 1938 ทั้งโลกก็เข้าสู่สงครามโลกครั้งที่ 2 ทำให้การแข่งขันทุกอย่างต้องหยุดลง และกลับมาเริ่มคึกคักกันอย่างจริงจังอีกครั้งในปี 1950 โดยสหพันธ์ยานยนต์นานาชาติ ได้เริ่มจัดการแข่งขันชิงแชมป์โลกอย่างเป็นทางการครั้งแรกในชื่อ

“Formula 1 World Championship”

พระชันษา 36 ปี สำหรับนักกีฬาถือว่าเป็นช่วงขาลงของสภาพร่างกายแล้ว แต่พระองค์เจ้าพีระก็ยังตัดสิน พระทัยอย่างแน่วแน่ที่จะเข้าร่วมการแข่งขันครั้งนี้ ซึ่งในการแข่งขัน F1 ครั้งแรกท่านต้องต่อกรกับทีมโรงงานยักษ์ใหญ่อย่างเช่น Ferrari, Alfa Romeo และ Talbot-Lago รวมไปถึงนักแข่งระดับท็อปของโลกอีกหลายคน ทุกอย่างเริ่มต้นขึ้นในวันที่ 13 พฤษภาคม ค.ศ. 1950 ณ สนาม Silverstone ประเทศอังกฤษ พร้อมกับผู้ชมกว่า 100,000 คน

พระองค์เจ้าพีระ ทรงเลือกใช้รถ Maserati 4CLT/48 รถแข่งที่ขึ้นชื่อเรื่องความแรงแต่ควบคุมยาก และมีความเปราะบางกว่าเมื่อเทียบกับรถโรงงานอย่าง Alfa Romeo แต่ด้วยฝีมือที่เรียกว่าขั้นเทพ ในรอบคัดเลือกท่านสร้างเสียงฮือฮาไปทั่วแพดด็อก (Paddock) ด้วยการทำเวลาได้เร็วเป็น อันดับที่ 5 จากรถทั้งหมด 21 คัน ซึ่งเป็นผลงานที่น่าทึ่งสำหรับ “ทีมอิสระ” ที่ต้องต่อสู้กับสุดยอดทีมโรงงานในยุคนั้น มาถึงในรอบการแข่งขันหลักพระองค์เจ้าพีระ เกาะกลุ่มผู้นำและไล่บี้กับตำนานอย่าง Giuseppe Farina (ว่าที่แชมป์โลกคนแรก) และ Juan Manuel Fangio อย่างไม่ลดละ แต่แล้วโชคชะตาก็เล่นตลก ในรอบที่ 49 ขณะที่ท่านกำลังรักษาตำแหน่งหัวแถว รถเกิดปัญหาจากน้ำมันเชื้อเพลิง ทำให้ต้องออกจากการแข่งขันไปอย่างน่าเสียดาย แม้จะแข่งไม่จบ แต่ผลงานในวันนั้นก็ได้ทำให้ทั้งสนามรู้ว่า พระองค์เจ้าพีระและทีม White Mouse ไม่ใช่หมูสนามอย่างแน่นอน

ถ้าหากการแข่งขันที่สนาม Silverstone คือการประกาศศักดาของนักแข่งจากประเทศไทย สนาม Bremgarten ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ คือสังเวียนที่พระองค์เจ้าพีระจารึกประวัติศาสตร์ สนามแห่งนี้ขึ้นชื่อเรื่องความโหดหิน รายล้อมด้วยต้นไม้ใหญ่ และพื้นผิวแทร็กที่เป็นอิฐบล็อกซึ่งลื่นและอันตราย พระองค์เจ้าพีระ และ Maserati 4CLT/48 คันเดิม ฝ่าฟันอุปสรรคและนักแข่งระดับโลกจนสามารถเข้าเส้นชัยได้ใน อันดับที่ 4 ในยุคนั้นคะแนนสะสมจะมอบให้เพียงผู้ที่ได้ 5 อันดับแรกเท่านั้น ชัยชนะครั้งนี้ทำให้ท่านคว้า 3 คะแนนสะสมชิงแชมป์โลกมาครอง และเมื่อจบฤดูกาล 1950 ท่านรั้ง อันดับที่ 8 ของโลก ซึ่งเป็นอันดับที่อยู่เหนือกว่านักแข่งทีมโรงงานหลายคน ถือเป็นเกียรติประวัติสูงสุดของนักแข่งไทยตราบจนปัจจุบัน หลังยุคทองปี 1950 โลกของ F1 เริ่มเปลี่ยนไป ทีมโรงงานยักษ์ใหญ่อย่าง Ferrari และ Mercedes เริ่มทุ่มเม็ดเงินมหาศาลพัฒนารถ ทำให้ทีมอิสระสู้ได้ยากลำบากขึ้น

ช่วงปี 1951-1954 เป็นช่วงเวลาที่ท้าทายที่สุด ท่านประสบอุบัติเหตุรุนแรงที่สนาม Rheims ประเทศฝรั่งเศส รถ Maserati 4CLT/48 ลื่นไถลชนต้นไม้จนพังยับเยิน โชคดีที่ท่านกระเด็นออกมานอกรถ (เนื่องจากสมัยนั้นไม่มีเข็มขัดนิรภัย) รอดชีวิตมาได้ราวปาฏิหาริย์ นอกจากนี้การย้ายไปขับให้กับทีม Gordini และ Connaught ก็มักเจอปัญหาเครื่องยนต์เปราะบาง ทำให้ต้องออกจากการแข่งขัน (DNF) บ่อยครั้ง แต่ตำนานย่อมมีบทสรุปที่งดงาม ในปี 1954 แม้จะเริ่มโรยราจากเวที F1 พระองค์เจ้าพีระได้เดินทางไปแข่งขันรายการ New Zealand Grand Prix และสามารถคว้า แชมป์ มาครองได้สำเร็จ ท่ามกลางเสียงเชียร์ชัยชนะครั้งนี้เปรียบเสมือนการทิ้งทวนที่งดงามที่สุด ก่อนที่ท่านจะตัดสินใจอำลาวงการความเร็วอย่างเป็นทางการในปี 1955

หลังจากพระองค์เจ้าพีระอำลาการวงการ F1 ท่านได้หันไปทุ่มเทกับการแข่งขันเรือใบและได้ร่วมแข่งขันในกีฬาโอลิมปิคถึง 4 ครั้งได้แก่ Melbourne 1956, Rome 1960, Tokyo 1964 และ Munic 1972 อย่างไรก็ตาม ชีวิตนอกสนามแข่งขันกลับไม่ได้ราบรื่นเหมือนเส้นทางที่ท่านเคยควบคุมได้ ท่านตัดสินใจลงทุนทำธุรกิจสายการบิน “แอร์สยาม” (Air Siam) ด้วยความหวังที่จะสร้างชื่อเสียงให้ประเทศในน่านฟ้าสากล แต่โชคชะตาไม่เข้าข้าง ภาวะเศรษฐกิจและการแข่งขันที่รุนแรงทำให้ธุรกิจประสบภาวะขาดทุนอย่างหนัก ปัญหารุมเร้าทั้งด้านการเงินและชีวิตสมรส ส่งผลให้ทรัพย์สินส่วนพระองค์ลดน้อยถอยลง ชีวิตที่เคยหรูหราอู้ฟู่ในฐานะเจ้าชายนักแข่งระดับโลก เริ่มเปลี่ยนไปสู่ความเรียบง่ายและขัดสน เป็นช่วงเวลาที่ท่านต้องเผชิญกับความยากลำบากที่ไม่มีใครคาดคิดจนถึงวาระสุดท้ายของเจ้าชายนักแข่ง

ในวันที่ 23 ธันวาคม ค.ศ. 1985 ณ สถานีรถไฟใต้ดิน Barons Court ในกรุงลอนดอน ชายชราคนหนึ่งล้มฟุบและสิ้นใจอย่างกระทันหันด้วยโรคหัวใจวาย ไม่มีใครรู้ว่าผู้เสียชีวิตท่านนี้คือใคร ร่างของท่านจึงถูกนำไปไว้ที่โรงพยาบาลในฐานะศพไร้ญาติ จนกระทั่งตำรวจสกอตแลนด์ยาร์ดได้ค้นทรัพย์สินในตัวและพบจดหมายฉบับหนึ่งที่เขียนด้วยภาษาไทย เมื่อผ่านกระบวนการตรวจสอบและยืนยันตัวตน โลกจึงได้รับรู้ความจริงที่ว่าชายชราผู้จากไปอย่างโดดเดี่ยวผู้นั้นคือ “Prince Bira” หรือ พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าพีรพงศ์ภาณุเดช ตำนานนักแข่งรถผู้ยิ่งใหญ่ที่เคยทำให้ธงชาติไทยโบกสะบัดเหนือโพเดียมระดับโลก และเป็นที่รักของแฟนกีฬาแข่งรถทั่วทั้งยุโรป

แม้พระองค์เจ้าพีระจะจากไปนานแล้ว แต่สิ่งของและสถานที่ที่เกี่ยวข้องกับท่านยังคงมีอยู่ให้คนรุ่นหลังได้ศึกษาโดยคร่าว ๆ ดังต่อไปนี้

  1. White Mouse Café (ไวท์เม้าส์ คาเฟ่) ซึ่งตั้งอยู่ภายในบริเวณ บ้านจักรพงษ์ (Chakrabongse Villas) ย่านท่าเตียน กรุงเทพฯ มีของสะสมและสิ่งของที่ระลึกเกี่ยวกับพระองค์เจ้าพีระ และทีมหนูขาว (White Mouse) สถานที่แห่งนี้เปรียบเสมือน “พิพิธภัณฑ์ขนาดย่อม” ที่บอกเล่าเรื่องราวความยิ่งใหญ่ของ พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าจุลจักรพงษ์ และ พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าพีรพงศ์ภาณุเดช โดยมีสิ่งของที่สามารถหาดูได้ยาก อย่างเช่น พวงมาลัยรถแข่ง Hanuman ชิ้นส่วนสำคัญจากรถคู่ใจคันที่ 3 ของพระองค์ (ต่อจาก Romulus และ Remus) ซึ่งเป็นพวงมาลัยจริงที่ผ่านสมรภูมิความเร็วมาแล้ว
    นอกจากนี้ยังมีภาพถ่ายหายากของพระองค์เจ้าพีระขณะทำการแข่งขัน และภาพบรรยากาศในพิท (Pit) ของทีมหนูขาว ถ้วยรางวัลบางส่วนจากการแข่งขันรายการต่าง ๆ ที่ถูกเก็บรักษาไว้อย่างดี โลโก้การ์ตูนรูปหนูขาวถือพวงมาลัย ซึ่งเป็นตราประจำทีมที่คนทั่วโลกจดจำ เพนต์อยู่ตามจุดต่าง ๆ บนของที่ระลึก และโปสเตอร์ “Bangkok Grand Prix” โปรโมตการแข่งขันรถยนต์กรังด์ปรีซ์ในกรุงเทพฯ (ซึ่งถูกยกเลิกไปเพราะสงครามโลก) ถือเป็นหลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่สำคัญมาก

  2. Romulus (ERA R2B) รถที่ท่านรักที่สุด ปัจจุบันอยู่ในคอลเลกชันของ Gregory Whitten (อดีตผู้บริหาร Microsoft) ในสหรัฐอเมริกา รถคันนี้ยังอยู่ในสภาพสมบูรณ์และเป็นรถ ERA ที่แพงที่สุดในโลก

    Hanuman (ERA R12B) รถคันที่มีรูปหนุมาน เชื่อกันว่าโครงสร้างหลักถูกเก็บรักษาไว้ใน วังสวนจิตรลดา ประเทศไทย เป็นสมบัติชาติที่ประเมินค่าไม่ได้

    Maserati 4CLT/48 (รถแข่ง F1) รถคันที่ใช้แข่งปี 1950 ปัจจุบันกระจัดกระจายอยู่ในมือนักสะสมเอกชนในยุโรป

  3. สนามพีระเซอร์กิต (Bira Circuit) พัทยา สนามแข่งรถมาตรฐานแห่งแรกของไทย ที่ตั้งชื่อเพื่อเป็นเกียรติแก่ท่าน ด้านหน้าสนามมีพระรูปปั้นของพระองค์เจ้าพีระในชุดนักแข่ง ยืนตระหง่านเป็นสัญลักษณ์แห่งแรงบันดาลใจ

  4. พิพิธภัณฑ์ ร.ย.ส.ท. (RAAT) สมาคมราชยานยนต์สมาคมแห่งประเทศไทยฯ มีการเก็บรวบรวมข้อมูล ภาพถ่าย และถ้วยรางวัลจำลองบางส่วนไว้เพื่อการศึกษา

  5. หนังสือ “เกิดวังปารุสก์” และ “ดาราทอง” หนังสือพระนิพนธ์ในพระองค์เจ้าจุลจักรพงษ์ คือขุมทรัพย์ข้อมูลที่ดีที่สุด มีรายละเอียดการเตรียมรถ การวางแผน และอารมณ์ความรู้สึกในแต่ละสนามอย่างครบถ้วน

เหนือสิ่งอื่นใด เกียรติยศพระองค์เจ้าพีระที่ทรงสร้างไว้ในฐานะ “นักแข่ง F1 คนแรกของไทย” คือสิ่งที่ประเมินค่าไม่ได้ ท่านมิได้เพียงแค่ขับรถแข่ง แต่ท่านได้กรุยทางและปักธงชาติไทยลงบนแผนที่มอเตอร์สปอร์ตโลกอย่างภาคภูมิ ชื่อของ “B. Bira” จึงไม่ใช่แค่ความทรงจำในอดีต แต่คือตำนานผู้เป็นอมตะที่จะถูกบอกเล่าไปอีกนานแสนนาน

ขอบคุณสถานที่: White Mouse Bar & Cafe by Chakrabongse Villas

Share:
On Key

Related Posts

Tokyo Joshi Pro Wrestling (TJPW) สังเวียนมวยปล้ำของสาว ๆ ที่งดงามราวเจ้าหญิง

ไม่ว่าคุณจะเป็นแฟนมวยปล้ำหรือไม่ แต่หากคุณติดตามข่าวสารเกี่ยวกับแวดวงบันเทิงของประเทศญี่ปุ่น คุณคงมีโอกาสได้เห็นภาพหรือคลิปไวรัลของสาว

WATCHA GONNA ดู

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • คุกกี้ที่จำเป็น
    Always Active

    ประเภทของคุกกี้มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้ได้อย่างเป็นปกติ และเข้าชมเว็บไซต์ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้

  • คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์

    คุกกี้ประเภทนี้จะทำการเก็บข้อมูลการใช้งานเว็บไซต์ของคุณ เพื่อเป็นประโยชน์ในการวัดผล ปรับปรุง และพัฒนาประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ ถ้าหากท่านไม่ยินยอม ให้เราใช้คุกกี้นี้ เราจะไม่สามารถวัดผล ปรับปรุงและพัฒนาเว็บไซต์ได้

Save