Intro to F1 : จากประวัติศาสตร์เปลี่ยนผ่านสู่ยุคปัจจุบัน | EP.04

เรากลับมาแล้วเพื่อน ๆ หลังจากหายไป 3 สัปดาห์ ยังไม่ได้เลิกเขียน ยังไม่ได้ทะเลาะกับเจ้านาย แค่ชีวิตมันแน่นเกิน เขียนไม่ทัน อยากจะขอโทษและขอบคุณสำหรับทุกคนที่เข้ามาอ่าน สำหรับ EP.4 เรามาทัน Race Week พอดี ถือว่าอ่านเรียกน้ำย่อยก่อนไปชม United States Grand Prix 2025 กันได้เลยครับ

EP ล่าสุดเราได้หยุดไว้ที่ปี 2000 เพราะหลังจากนี้เป็นต้นไป คือยุคที่เราได้รู้จักกับ F1 อย่างจริง ๆ ครั้งแรก ก่อนหน้านั้นคือการกลับไปติดตามศึกษาหรือดูย้อนหลังเท่านั้น ซึ่งเราโตมาพร้อมกับยุครุ่งเรืองของ Michael Schumacher และชาวคณะ Ferrari ที่สามารถคว้าแชมป์ได้ถึง 5 สมัย และแชมป์สมัยที่ 5 ที่เกิดขึ้นในปี 2002 เป็นการคว้าแชมป์ที่เร็วที่สุดของประวัติศาสตร์ F1

โดย Michael Schumacher ทำได้ตั้งแต่สนามที่ 11 ในการแข่งขัน French Grand Prix และเป็นการขึ้นโพเดียมตลอดทั้ง 11 สนามของ Michael Schumacher แต่การได้แชมป์ครั้งนี้ก็ได้มาพร้อมกับดราม่าจาก Team Orders ของ Ferrari ที่สั่งให้ Ruben Barrichello ชะลอรถในช่วงโค้งสุดท้ายของการแข่งขัน Australian Grand Prix ส่งให้ Michael Schumacher แซงเข้าเส้นชัยเป็นดันดับ 1 ซึ่งการกระทำของ Ferrari ในครั้งนี้เรียกได้ว่าขัดต่อจิตวิญญาณของการแข่งขันกีฬาอย่างโจ่งแจ้ง และสร้างความไม่พอใจแก่แฟนทั่วโลก จนเป็นสาเหตุให้ FIA ตัดสินใจสั่งห้ามใช้ Team Orders ในลักษณะที่ต้องการบิดเบือนผลการแข่งขันอย่างชัดเจนในฤดูกาลถัดไป

Michael Schumacher
Image Source from: Malta Daily

จากเหตุการณ์ที่ Michael Schumacher สามารถคว้าแชมป์ได้อย่างรวดเร็วจนเรียกได้ว่าหลังจากสนามที่ 11 การแข่งขันก็จะซึม ๆ หน่อย ทำให้ในปี 2003 FIA ได้ทำการเปลี่ยนกฎหลายอย่างเพื่อให้การแข่งขันกลับมาสนุกมากขึ้น นอกจากเรื่อง Team Orders ที่เล่าไปแล้ว ก็จะมีการเปลี่ยนกฎการให้คะแนนจาก 

อันดับที่ 1 : 10 คะแนน
อันดับที่ 2 : 6 คะแนน
อันดับที่ 2 : 4 คะแนน

มาเป็น

อันดับที่ 1 : 10 คะแนน
อันดับที่ 2 : 8 คะแนน
อันดับที่ 3 : 6 คะแนน
อันดับที่ 4 : 5 คะแนน
อันดับที่ 5 : 4 คะแนน
อันดับที่ 6 : 3 คะแนน
อันดับที่ 7 : 2 คะแนน
อันดับที่ 8 : 1 คะแนน

เพื่อให้ความสำคัญการคะแนนอันดับรองมากขึ้น และปรับเปลี่ยนการควอลิฟาย แต่สิ่งเหล่านี้ก็ยังไม่สามารถหยุด Michael Schumacher จากการคว้าแชมป์สมัยที่ 6 ให้กับตัวเองในปี 2003 โดยเฉือนชนะ Kimi Räikkönen จาก McLaren และ Juan Pablo Montoya จาก Williams ไปได้อย่างหวุดหวิดที่สนามสุดท้าย Japanese Grand Prix ด้วยคะแนนเพียง 2 คะแนน และต่อเนื่องด้วยแชมป์สมัยที่ 7 ของ Michael Schumacher ในปี 2004 ซึ่งเป็นแชมป์ปีสุดท้ายของสุดยอดนักขับท่านนี้

เข้าสู่ปี 2005 ก็มาถึงการสิ้นสุดของยุคที่ Ferrari ครอบงำวงการ F1 อย่างหมดจด เนื่องจาก FIA ได้เริ่มการใช้กฎกติกาที่เข้มงวดมากกว่าเดิม ซึ่งก็คือ กฎการใช้ยางชุดเดียวตลอดการแข่งขัน นั่นหมายความว่า ทั้งในรอบควอลิฟายและการแข่งขันหลัก ทีมจะไม่สามารถเปลี่ยนยางได้เลยยกเว้นในกรณีที่ยางชำรุดเสียหาย รวมไปถึงการกำหนดให้เครื่องยนต์ที่ต้องใช้ได้ยาวจนถึง 2 สนาม ถึงจะสามารถเปลี่ยนหรือเซตอัปใหม่ได้ สิ่งเหล่านี้ได้สร้างผลกระทบอันยิ่งใหญ่ให้กับ Ferrari และ Bridgestone ซึ่งเป็นพัฒนายางที่เน้นประสิทธิภาพระยะสั้น แต่กลับกันทีมที่ใช้ยาง Michelin อย่างเช่น Renault หรือ McLaren ได้รับประโยชน์ไปเต็ม ๆ ในฤดูกาลนี้ เนื่องจากยางมีความเหมาะสมกับกฎนี้มากกว่า

Fernando Alonso
Image Source from: Goodwood Road & Racing

ทำให้ฤดูกาลนี้การต่อสู้ที่สำคัญได้กลายเป็นคู่ของ Fernando Alonso (ใช่ครับคุณอ่านไม่ผิด เค้าคือ Alonso เดียวกันกับคนที่เป็นผู้นำของขบวนรถไฟในฤดูกาลปัจจุบันในหลาย ๆ สนามนั่นแหละ) จากทีม Renault และ Kimi Räikkönen จากทีม McLaren ซึ่งผลสุดท้าย Fernando Alonso ก็ได้กลายเป็นแชมป์โลก F1 ที่อายุน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์ แต่กฎการใช้ยางในรูปแบบนี้ก็อยู่ได้แค่ฤดูกาลเดียว เนื่องจากเหตุการณ์ที่ United Stated Grand Prix ได้มีรถจำนวน 14 คันที่ใช้ยาง Michelin ตัดสินใจขอไม่เข้าร่วมการแข่งขันโดยให้เหตุผลด้านความปลอดภัย ทำให้มีแต่รถที่ใช้ยาง Bridgestone เพียง 6 คันร่วมกันแข่งขันในสนามนี้ ซึ่งสร้างความอับอายต่อ F1 รวมไปถึงดราม่าและเสียงวิจารณ์ในแง่ลบกฎนี้ในวงกว้างเช่นกันเดียวกัน จนทำให้ต้องมีการเปลี่ยนกฎอีกครั้งในฤดูกาลถัดไป

“Spygate” เหตุการณ์นี้จะไม่พูดถึงก็คงไม่ได้ ซึ่งมันเกิดขึ้นปี 2007 เพราะมันคือกรณีการจารกรรมข้อมูลครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของ F1 โดยเหตุการณ์มันเริ่มต้นจาก Mike Coughlan หัวหน้านักออกแบบของทีม McLaren ได้ถูกตรวจพบว่าครอบครองเอกสารลับสุดยอดของทีม Ferrari ที่มีรายละเอียดการออกแบบและการเซตอัปของรถแข่ง Ferrari F2007 โดยเอกสารเหล่านี้ถูกส่งมาจาก Nigel Stepney อดีตหัวหน้าช่างของ Ferrari ที่ถูกไล่ออกก่อนหน้านั้น เนื่องจากพยายามก่อวินาศกรรมกับโรงงานของทีม จากการสอบสวนช่วงแรกของ FIA ได้ตัดสินว่า McLaren มีความผิดจริงในการครอบครองข้อมูลเหล่านี้ แต่ไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่า McLaren ได้นำข้อมูลเหล่านี้ไปสร้างประโยชน์หรือข้อได้เปรียบในการแข่งขัน

Form left to right Mike Coughlan and Nigel Stepney from F1 Spygate scandal

แต่ ๆๆๆ น้าโซ่คนดีคนเดิม หรือ Fernando Alonso ซึ่งเป็นนักแข่งของ McLaren ได้ทำการเปิดเผยอีเมลที่แสดงให้เห็นว่าเอกสารลับฉบับนี้มันได้ถูกแพร่กระจายไปในหมู่พนักงานของทีม มากกว่าที่ทีมเคยบอกไว้กับ FIA ทำให้เกิดการพิจารณาคดีใหม่อีกครั้งและเป็นผลให้ FIA ตัดสินให้ทีม McLaran มีความผิดอย่างชัดเจนในข้อหาละเมิดหลักปฏิบัติสากลด้านกีฬา มีบทลงโทษปรับ 100 ล้านเหรียญสหรัฐ และถูกตัดคะแนนประเภททีมทั้งหมดในฤดูกาล 2007 แต่ FIA ก็ยังพอจะปราณีอยู่บ้าง โดยให้คะแนนประเภทนักขับของ Lewis Hamilton และน้าโซ่ยังคงอยู่เหมือนเดิม

มาถึงในปี 2009 เรื่องราวในปีนี้เรียกได้ว่ามันคือเรื่องราวเทพนิยายของวงการ F1 ไม่มีใครเคยคิดว่าสิ่งนี้มันจะเกิดขึ้นได้เลย กับเรื่องราวของทีม Brawn GP ทีมที่ใกล้จะล้มละลายอยู่แล้ว แต่กลับมาได้แชมป์โลกทั้งประเภทนักขับและประเภททีมได้ภายในฤดูกาลเดียว และเป็นฤดูกาลเดียวที่ทีมนี้ลงแข่งขันเช่นกัน เริ่มจากช่วงปลายปี 2008 เกิดวิกฤตการณ์ทางการเงินที่ส่งผลต่อวงการ F1 อย่างรุนแรง โดยเฉพาะกับทีม Honda Racing F1 และตัดสินใจประกาศถอนตัวออกจากการแข่งขันในช่วงปลายปี โดยมี Jenson Button และ Rubens Barrichello เป็นนักแข่งของทีมในขณะนั้น รวมไปถึงพนักงานประมาณ 700 คนต้องเผชิญกับความไม่แน่นอนในอาชีพ ทำให้ Ross Brawn ผู้ที่เป็นหัวหน้าของทีมได้พยายามอย่างสุดความสามารถในการซื้อกิจการของทีมคืนมา เพื่อให้ทุกอย่างยังดำเนินต่อไปได้ และปาฏิหารย์ก็เกิดขึ้นในเดือนมีนาคม 2009 เพียงไม่กี่สัปดาห์ก่อนการแข่งขันจะเริ่ม ดีลทุกอย่างก็สำเร็จและจบลงด้วยราคาเพียง 1 ปอนด์ แต่ใน 1 ปอนด์นี้ได้มีภาระผูกพันรวมไปถึงข้อตกลงทางธุรกิจอีกมากมาย (เราจะเก็บไว้เล่าให้ฟังในอนาคตแล้วกัน) เมื่อดีลนี้สำเร็จทาง Ross Brawn ได้เปลี่ยนชื่อทีมเป็น Brawn GP Formula One Team โดยใช้เครื่องยนต์ของ Mercedes-Benz แทน Honda ที่ถอนตัวออกไป

Ross Brawn
Image Source from: Independent

เมื่อการแข่งขันเริ่มต้นขึ้นทีมก็ได้โชว์ของทันทีด้วยการพัฒนารถแข่ง Brawn BGP001 โดยมีชิ้นส่วนสำคัญที่ถูกพัฒนาขึ้นใหม่คือ Double Diffuser ซึ่งเป็นอุปกรณ์แอโรไดนามิกที่เพิ่มแรงกดอย่างมหาศาลบริเวณท้ายรถ ผลของการพัฒนาครั้งนี้ก็เป็นส่วนสำคัญที่ทำให้ Brawn GP คว้าชัยชนะด้วยอันดับ 1 และ 2 จากสนามแรกของฤดูกาลที่ Australian Grand Prix หลังจากนั้น Jensen Button ก็ยังคว้าชัยชนะได้ถึง 6 สนามจาก 7 สนามแรกของฤดูกาลซึ่งเป็นผลให้คะแนนนำห่างจากนักขับคนอื่นเป็นอย่างมาก ถึงแม้ในช่วงกลางของฤดูกาล Sebastian Vettel จาก Red Bull Racing ได้ไล่ตามมาอย่างรวดเร็วหลังจากที่พวกเขาได้พัฒนาระบบแอโรไดนามิครวมถึง Double Diffuser ของตัวเองได้สำเร็จ แต่ก็ไม่สามารถที่ไล่ได้ทัน

Brawn BGP001
Image Source from: Grandprixnews.com

บทสรุปเกิดขึ้นที่สนามรองสุดท้าย Brazillian Grand Prix ถึงแม้ว่า Jenson Button จะออกสตาร์ทที่อันดับ 14 แต่เขาก็สามารถจบการแข่งขันในอันดับที่ 5 ซึ่งมันเพียงพอสำหรับการคว้าแชมป์โลกประเภทนักขับ และ Brawn GP ก็สามารถคว้าแชมป์ประเภททีมได้พร้อมกัน ทำให้ทีมที่เรียกว่านอนในโรงแล้วเหลือแค่ตอกฝาปิด กลายมาเป็นทีมแรกในประวัติศาสตร์ของ F1 ที่คว้าแชมป์ทั้งสองประเภทในฤดูกาลแรกและฤดูกาลเดียวที่ลงแข่งขันได้สำเร็จ

หลังจากจบฤดูกาล Brawn GP ก็ถูกซื้อกิจการโดย Mercedes-Benz และถูกเปลี่ยนชื่อเป็น Mercedes GP ในปี 2010 ซึ่งเป็นการกลับมาของ Mercedes-Benz ในรอบ 55 ปี จากการแข่ง F1 ครั้งสุดท้ายของทีมเมื่อปี 1955 และในปีนี้ทาง FIA ก็ได้มีเปลี่ยนระบบการให้คะแนนอีกครั้งจากที่เปลี่ยนครั้งล่าสุดเมื่อปี 2003 ซึ่งการเปลี่ยนแปลงในครั้งนี้ก็ได้ใช้มาจนถึงในปัจจุบัน สามารถกลับไปอ่านกันได้นะใน EP.1

Mercedes Launch F1 Team in 2010
Image Source from: Spiegel

ช่วงปี 2001-2010 เกิดเหตุการณ์ทำลายสถิติที่สำคัญ นั่นคือตำแหน่งแชมป์โลกที่อายุน้อยที่สุด ซึ่งเกิดขึ้นถึง 3 ครั้ง ได้แก่

Fernando Alonso ปี 2005 : 24 ปี 1 เดือน 27 วัน
Lewis Hamilton ปี 2008 : 23 ปี 9 เดือน 26 วัน
Sebastian Vettel ปี 2010 : 23 ปี 4 เดือน 11 วัน

และแล้วยุคสมัยของ Red Bull Racing ก็มาถึงในฤดูกาล 2011 นำทีมโดย Sebastian Vettel กับรถแข่ง Red Bull RB7 ที่ถูกออกแบบโดย Adrian Newey หรือเทพเจ้าแห่งลมของวงการรถแข่ง (เราสัญญาเลยว่าจะเล่าเรื่องราวของเขาโดยแยกเป็น EP. ของเขาคนเดียวอย่างแน่นอน) ซึ่งสิ่งสำคัญที่ทำให้ Red Bull คว้าแชมป์สมัยที่ 2 ได้สำเร็จ คือความเข้าใจที่มากกว่าทีมอื่น กับกฎการเพิ่มความสามารถในการแซงด้วยระบบ DRS (Drag Reduction System) หรือระบบลดแรงต้านอากาศโดยมีวัตถุประสงค์หลักเพื่อเพิ่มโอกาสในการแซง เนื่องจากหลักอากาศพลศาสตร์ของรถรุ่นใหม่มักทำให้รถคันที่ตามมาใกล้ ๆ สูญเสียแรงกดจาก Dirty Air ด้านหลัง ทำให้ยากต่อการเข้าใกล้และแซงอย่างมีประสิทธิภาพ กลไกของ DRS จะอยู่ที่ปีกหลังรถ ซึ่งโดยปกติปีกหลังรถจะถูกเซตอัปในมุมที่ตั้งไว้เพื่อสร้างแรงกดให้กับรถ แต่เมื่อนักแข่งเปิดใช้งาน DRS จากที่พวงมาลัย แผ่นปีกจะยกตัวขึ้น เพื่อเปิดให้ลมสามารถผ่านได้โดยตรง ทำให้แรงต้านอากาศด้านหลังลดหายไป และส่งผลให้ทำความเร็วได้มากขึ้นถึง 15 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ดังนั้นความเร็วที่เพิ่มขึ้นก็ถือว่าเป็นข้อได้เปรียบของผู้ตามในขณะที่ต้องการจะแซงผู้นำ แต่ระบบนี้ได้ถูกกำหนดไว้ให้ใช้ได้ในเฉพาะ DRS Zone ในแต่ละสนาม และรถผู้ตามต้องอยู่ห่างไม่เกิน 1 วินาทีจากผู้นำเท่านั้น

DRS Works (simulating airflow and turbulence)
Image Source from: Raceteq

นอกจากระบบ DRS ในยุคนี้ได้มีระบบที่สำคัญถูกสร้างขึ้นมาอีกคือระบบ KERS (Kinetic Energy Recovery System) หรือพูดง่าย ๆ ก็คือระบบรีเจนในรถไฟฟ้าที่หลาย ๆ คนได้ใช้กันอยู่ในทุกวันนี้ มันคือระบบการเปลี่ยนแปลงพลังงานจลที่เกิดจากการชะลอรถให้กลับมาเป็นพลังงานไฟฟ้า และเก็บไว้ในแบตเตอรี่ลิเธียมไอออน หลังจากนั้นนักแข่งก็สามารถที่จะนำพลังงานที่ถูกเก็บไว้นี้มาใช้เพื่อเพิ่มกำลังให้กับรถแข่งได้ประมาณ 80 แรงม้าในชั่วขณะหนึ่ง ซึ่งการใช้ระบบนี้จะถูกกำหนดให้ใช้ได้ไม่ประมาณ 7 วินาทีต่อรอบสนาม นอกจาก 2 ระบบนี้ที่ถูกนำมาใช้ F1 ก็ยังได้เริ่มการใช้ยาง Pirelli เข้ามาเป็นยางสำหรับใช้ในการแข่งขันอย่างเป็นทางการยี่ห้อเดียว ด้วยเหตุผลนี้ทำให้ปี 2012 เป็นฤดูกาลที่ตื่นเต้นมากสำหรับแฟน ๆ ทั่วโลก เนื่องจากต้นฤดูกาลมีนักแข่งที่แตกต่างกันถึง 7 คนคว้าแชมป์ในการแข่งจาก 7 สนามแรก มันแสดงให้เห็นว่าฤดูกาลนี้ไม่มีใครเหนือกว่าใครอย่างชัดเจน

KERS Layout
Image Source from: Medium

ปี 2013 ความยิ่งใหญ่ของ Red Bull Racing ก็ยังคงยืนระยะอย่างต่อเนื่อง จากผลงานการคว้าแชมป์ประเภทนักขับเป็นสมัยที่ 4 ติดต่อกันของ Sebastian Vettel ซึ่งตอกย้ำผลงานการพัฒนารถ RB9 ให้เข้ากับยางของ Pirelli ได้อย่างสมบูรณ์แบบ แม้จะมี Lewis Hamilton กับ Nico Rosberg มาได้แชมป์จากสนามต่าง ๆ ไปบ้างก็ตาม นอกจากฟอร์มอันโดดเด่นของ Vettel เหตุการณ์ “Multi-21” ก็เป็นสิ่งที่น่าสนใจสำหรับฤดูกาลนี้ด้วย ซึ่งมันเกิดขึ้นที่สนาม Sepang ในการแข่งขัน Malaysian Grand Prix สถานการณ์ในรอบท้าย ๆ ของการแข่งขันคือ นักแข่ง Red Bull ทั้งสองคันได้ครองตำแหน่งนำอยู่ โดย Mark Webber (รถหมายเลข 2) นำหน้า Sebastian Vettel (รถหมายเลข 1) ที่ตามมาติด ๆ เมื่อเห็นว่าทั้งคู่มีความเสี่ยงที่จะชนกันเอง หรือทำให้ยางและเครื่องยนต์เสียหาย ทีมงาน Red Bull Racing จึงได้ส่งคำสั่งลับทางวิทยุถึง Sebastian Vettel ด้วยรหัสที่ว่า “Multi-21” ซึ่งรหัสนี้คือคำสั่งให้ “รถหมายเลข 2 นำหน้ารถหมายเลข 1” หรือพูดง่าย ๆ คือสั่งให้ Sebastian Vettel ที่ตามมาข้างหลัง “คงตำแหน่ง” ไว้ตามที่ทั้งสองได้ตกลงกันไว้ล่วงหน้าก่อนการแข่งขัน ว่าจะไม่ต่อสู้กันเองเพื่อป้องกันความเสียหายของทีม แต่ Sebastian Vettel ซึ่งเป็นแชมป์โลกสามสมัยในขณะนั้น กลับเลือกที่จะฝ่าฝืนคำสั่งอย่างชัดเจน โดยเขาขับไล่ตามและเข้าต่อสู้กับ Mark Webber อย่างดุเดือด จนสามารถแซงขึ้นนำไปได้ในที่สุด และคว้าชัยชนะในรายการนี้ ทำให้หลังจากการแข่งขันจบลง Mark Webber ได้กล่าวประโยคที่กลายเป็นตำนานขึ้นมาว่า “Multi 21, Seb! Yeah, Multi 21!” เพื่อสื่อถึงการไม่ซื่อสัตย์ของเพื่อนร่วมทีม แต่หลังจากนั้น Sebastian Vettel ก็ได้กล่าวว่าสิ่งที่เขาทำนั้นเป็นการเอาคืนจากเหตุการณ์ที่ Mark Webber เคยขับเบียดเขาในการแข่งขันชิงแชมป์โลกที่บราซิลในปี 2012 เรียกว่าเจ๊ากันแล้วนะเพื่อนก็น่าจะได้

Sebastian Vettel and Mark Webber’s battle as Red Bull team mates
Image Source from: F1

แต่ความรุ่งโรจน์ไม่ได้อยู่กับทีม Red Bull Racing ตลอดไป เมื่อ FIA ประกาศยกเลิกการใช้เครื่องยนต์ V8 และนำเอาเครื่องยนต์ Hybrid V6 ขนาด 1.6 ลิตรรวมกับระบบ ERS มาใช้งานในปี 2014 ซึ่งระบบ ERS (Energy Recovery System) หรือระบบกู้คืนพลังงาน คือระบบที่พัฒนาต่อมาจาก KERS ในรุ่นก่อนหน้า โดยมีความสามารถในการจัดเก็บพลังงานที่สูงขึ้นและทำหน้าที่เป็นบูสต์ไฟฟ้าด้วยเช่นกัน สามารถเพิ่มกำลังให้กับเครื่องได้ถึง 160 แรงม้าและใช้ได้ถึง 30 วินาทีต่อหนึ่งรอบสนาม สิ่งสำคัญที่เพิ่มมาจากระบบ KERS คือ ระบบ MGU-H (Motor Generator Unit – Heat) ที่จะทำหน้าที่กู้คืนพลังงานจากไอเสียของเทอร์โบชาร์จเจอร์ ถูกนำไปเก็บในแบตเตอรี่ความจุสูง และยังมีความสามารถที่สำคัญอีกอย่างคือการควบคุมความเร็วของเทอร์โบเพื่อลดอาการ Turbo Lag ได้อีกด้วย การจัดการ ERS ถือเป็นกลยุทธ์ที่สำคัญอย่างยิ่งในการแข่งขัน F1 ยุคปัจจุบัน เนื่องจากนักแข่งจะต้องตัดสินใจเองว่าจะ “กู้คืน” พลังงานเมื่อใด และจะ “ปล่อย” พลังงานเสริมนี้ออกมาเมื่อใด สำหรับการเร่งแซง ป้องกันการแซง หรือเร่งทำความเร็วในรอบสำคัญ 

การบริหารจัดการพลังงานให้มีประสิทธิภาพสูงสุดตลอดระยะทางของการแข่งขันเป็นความท้าทายที่ต้องอาศัยทักษะของนักขับและความเชี่ยวชาญของวิศวกรประจำทีม ด้วยเหตุเหล่านี้จึงทำให้เกิดความได้เปรียบครั้งใหญ่แก่ทีมที่เตรียมตัวมาดีที่สุดอย่าง Mercedes AMG Petronas ซึ่งสามารถสร้างขุมกำลังที่เหนือกว่าคู่แข่งอย่างเห็นได้ชัด และครองความยิ่งใหญ่ในฤดูกาลนี้ด้วยการทำลายสถิติหลายรายการ รวมถึงการคว้าชัยชนะถึง 16 สนามจาก 19 สนาม และจบแบบ 1-2 ถึง 11 ครั้ง ทำให้ทีมคว้าแชมป์โลกประเภททีมผู้สร้างไปครองเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ แต่ก็ได้มีเรื่องเศร้าเกิดขึ้นอีกครั้งจากการที่ Jules Bianchi นักแข่งจากทีม Marussia ที่ประสบอุบัติเหตุร้ายแรงถึงชีวิต ซึ่งเป็นเหตุการณ์ความรุนแรงครั้งแรก ตั้งแต่การจากไปของ Senna ในปี 1994 และหลังจากเหตุการณ์ของ Bianchi ทำให้ FIA ต้องทบทวนมาตรการด้านความปลอดภัยอีกครั้งซึ่งนำไปสู่การพัฒนาระบบ Halo ในที่สุด

Halo (safety device)
Image Source from: Racing News 365

ในยุคหลังจาก 2014 เป็นต้นไปเรียกว่าไปยุคแห่งความยิ่งใหญ่ของ Mercedes AMG Petronas อย่างชัดเจน ซึ่งสามารถครองแชมป์ประเภททีมได้ถึง 8 ปีติดต่อกัน (2014-2021) จุดเด่นในปี 2015 ยังคงเป็นการแข่งขันกันของ Lewis Hamilton และ Nico Rosberg จากทีมเดียวกันที่ขับเคี่ยวกันตลอดฤดูกาลจนถึงสนามสุดท้าย แต่ก็ได้มีไอ้หนุ่มคนหนึ่งที่ชื่อว่า Max Verstappen เฉิดฉายขึ้นมาในปีนี้จากทีม Toro Rosso ด้วยอายุเพียง 17 ปี ทำให้เขากลายเป็นนักแข่งที่อายุน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์ของ F1 และจากฟอร์มการขับที่เรียกว่าระดับเทพ ทำให้เขาสามารถคว้ารางวัล Rookie of the year ไปครอง

ฤดูกาลที่ยาวที่สุดของ F1 ได้เกิดขึ้นในปีนี้ ซึ่งปี 2016 ได้มีสนามแข่งขันเป็นจำนวนถึง 21 สนาม การต่อสู้ที่สำคัญของปีนี้ก็ยังอยู่ที่คู่เดิมจากทีม Mercedes AMG Petronas แต่ผลลัพธ์มันเปลี่ยนไปเพราะเป็นปีแรกและปีเดียวที่ Nico Rosberg สามารถได้รับตำแหน่งแชมป์โลกเหนือ Lewis Hamilton ไปได้ และเนื่องจากความไม่ลงรอยกันของทั้งคู่จนทำให้เกิดเหตุการณ์ชนกันเองที่ Spanish Grand Prix ส่งผลให้ Max Verstappen ที่ได้ย้ายจาก Toro Rosso มาอยู่ Red Bull Racing คว้าชัยชนะครั้งแรกในอาชีพนักแข่ง F1 ไปครองได้สำเร็จและด้วยวัยเพียง 18 ปี เขาก็ได้เป็นนักแข่งที่อายุน้อยที่สุดที่ชนะการแข่งขัน F1 อีกด้วย

Formula 1: Drive to Survive season 7
Image Source from: News GP

เราขอจบเรื่องเล่าประวัติศาสตร์ของ F1 ไว้เท่านี้แหละ  ซึ่งเรื่องราวหลังจากนี้ได้ถูกเล่าไว้ในซีรีส์ Formula 1 : Drive To Survive ทางแฟลตฟอร์ม Netflix อย่างสมบูรณ์แบบแล้ว เพื่อน ๆ ทุกคนสามารถไปติดตามกันได้เลย ตอนนี้มีถึง 7 ซีซันแล้วนะ เหมือนจะเยอะแต่เชื่อเถอะว่าดูแล้วเครื่องติด ไล่ตั้งแต่ต้นจนจบแน่นอน เพราะมันสนุกมากจริง ๆ

Share:
On Key

Related Posts

บอมบ์งาน เส้นแบ่งระหว่างเสรีภาพ หรือเป็นแค่การย่ำยีผลงานของผู้อื่น?

ถึงแม้กราฟฟิตี้จะกำเนิดขึ้นบนความต่อต้านอำนาจ และท้าทายระบบที่มีอยู่ในสังคม แต่สิ่งเหล่านี้ยังคงอยู่ภายใต้กฏเกณฑ์

WATCHA GONNA ดู

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • คุกกี้ที่จำเป็น
    Always Active

    ประเภทของคุกกี้มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้ได้อย่างเป็นปกติ และเข้าชมเว็บไซต์ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้

  • คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์

    คุกกี้ประเภทนี้จะทำการเก็บข้อมูลการใช้งานเว็บไซต์ของคุณ เพื่อเป็นประโยชน์ในการวัดผล ปรับปรุง และพัฒนาประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ ถ้าหากท่านไม่ยินยอม ให้เราใช้คุกกี้นี้ เราจะไม่สามารถวัดผล ปรับปรุงและพัฒนาเว็บไซต์ได้

Save