Intro to F1 : การพัฒนาที่แลกมาด้วยความเจ็บปวด | EP.03

“F1 75หลายคนคงจะได้เห็นโลโก้นี้ในฤดูกาล 2025 ซึ่งที่มาของเลข 75 ก็คืออายุของการแข่ง F1 นับจากจากฤดูกาลแรกอันยิ่งใหญ่ของ Alfa Romeo และการเริ่มต้นของ Ferrari จนถึงปัจจุบัน ตลอด 75 ปีที่ผ่านมามีเหตุการณ์สำคัญอะไรเกิดขึ้นในประวัติศาสตร์ของ F1 บ้าง ตามอ่านกันต่อได้เลยครับ

Formula 1’s 10-team F1 75 Live
Image Source from: Planet F1

ในช่วงทศวรรษแรก (1950-1959) ของ F1 ถือเป็นช่วงเวลาแห่งการเปลี่ยนผ่านและความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ของนักขับในตำนาน Juan Manuel Fangio ที่เริ่มต้นสร้างตำนานให้กับตัวเอง ในปี 1951 เขาคว้าแชมป์โลกได้เป็นครั้งแรกกับทีม Alfa Romeo แต่หลังจากนั้นซึ่งเป็นช่วงเวลาหลังจากสงครามโลกครั้งที่ 2 เศรษฐกิจของประเทศอิตาลีกำลังอยู่ในช่วงฟื้นตัว ส่งผลให้รัฐบาลอิตาลีซึ่งเป็นเจ้าของทีมตัดสินใจที่จะให้ทีม Alfa Romeo ถอนตัวจากการแข่งขันเนื่องจากต้องเผชิญกับแรงกดดันจากประชาชนให้มุ่งเน้นไปที่การผลิตรถยนต์เชิงพาณิชย์เพื่อตอบสนองความต้องการของตลาดมากกว่าการทุ่มงบประมาณจำนวนมหาศาลไปกับการแข่งขันมอเตอร์สปอร์ต ทำให้หลังจากนั้นในปี 1952-1953 ทีม Ferrari ก็ผงาดขึ้นมาครองความยิ่งใหญ่แทน และ Alberto Ascari ซึ่งเป็นนักขับของทีมในขณะนั้นก็กลายเป็นนักขับคนแรกที่คว้าแชมป์โลกได้สองสมัยติดต่อกัน

มาถึงในปี 1954 หลังจากถูกแบนจากการแข่งขันกีฬาแข่งรถอยู่หลายปี ก็ถึงเวลาแห่งการกลับมาของ Mercedez-Benz สุดยอดทีมจากเยอรมัน ซึ่งพวกเขากลับมาพร้อมกับรถ “Silver Arrows” รหัส W196 กับการออกแบบตัวถังแบบ “Streamliner” ที่มีลักษณะปิดล้อทั้งหมดเพื่อลดแรงต้านอากาศในสนามที่แข่งความเร็วสูง และแบบ “Open-Wheel” สำหรับสนามที่มีโค้งหลายๆโค้งและความเร็วไม่สูงมากนัก โดยเลือกใช้เครื่องยนต์ 8 สูบเรียง 2,500 ซีซี สามารถทำกำลังสูงสุด 257 แรงม้าที่ 8,200 รอบต่อนาที แต่สิ่งที่ทำให้รถคันนี้เหนือกว่าคู่แข่งในสนามคือ ระบบจ่ายเชื้อเพลงแบบฉีดตรง หรือ “Direct Fuel Injection” ซึ่งเป็นระบบที่ทำให้เครื่องยนต์ได้รับการเผาไหม้ที่สมบูรณ์, แรงบิดที่ดีขึ้น, การจ่ายน้ำมันที่แม่นยำมากกว่าเครื่องยนต์ระบบคาร์บูเรเตอร์ของทีมอื่นๆ ระบบนี้ทาง Mercedez-Benz ได้นำมาจากการพัฒนาเครื่องยนต์ของเครื่องบินในยุคสงครามโลกครั้งที่ 2 รวมไปถึงการที่เครื่องถูกวางเอียงด้วยมุม 60 องศาเพื่อลดจุดศูนย์ถ่วงทำให้รถมีความเสถียรและเข้าโค้งได้ดีขึ้น และอีกหนึ่งเหตุผลที่ทำให้รถคันนี้สามารถคว้าชัยได้ถึง 2 สมัยซ้อนติดต่อกันในปี 1954-1955 ก็คงหนีไม่พ้นผลงานการขับของ Juan Manuel Fangio ซึ่งย้ายมาจากทีมเก่าอย่าง Alfa Romeo ที่ได้ถอนตัวจากการแข่งขันออกไป

Mercedes “Silver Arrows” W196
Image Source from: Auto Class Magazine

แต่งานเลี้ยงก็ย่อมมีวันเลิกลา วันที่ 11 มิถุนายน 1955 ในการแข่งขัน 24 Hours of Le Mans ประเทศฝรั่งเศส ได้เกิดอุบัติเหตุที่ทำให้รถแข่ง Mercedes-Benz 300 SLR พุ่งชนรถของคู่แข่งทำให้รถเสียหลักกระแทกเข้ากับเขื่อนดินและโครงสร้างคอนกรีตด้านข้างสนามอย่างรุนแรงจนแตกเป็นเสี่ยง ๆ ส่งผลให้ชิ้นส่วนต่าง ๆ รวมถึงเครื่องยนต์และเพลาหน้า หลุดกระเด็นเข้าไปในกลุ่มผู้ชมเหมือนกับสะเก็ดระเบิด มีผู้เสียชีวิตทันทีอย่างน้อย 83 คนรวมนักแข่งของทีม และบาดเจ็บอีกกว่า 120 คน ซึ่งเหตุการณ์นี้เป็นสาเหตุหลักที่ทำให้ Mercedes-Benz ตัดสินใจอย่างเด็ดขาดที่จะถอนทีมออกจากสนามแข่งทั้งหมดในคืนนั้น เพื่อแสดงความเคารพต่อเหยื่อผู้เสียชีวิต และหลังจากนั้นก็ได้ประกาศถอนตัวจากวงการมอเตอร์สปอร์ตทั้งหมดไปเป็นเวลากว่าสามทศวรรษ ทำให้ในปี 1956 Juan Manuel Fangio ต้องย้ายทีมอีกครั้ง โดยที่เขาเลือกย้ายไปขับให้กับ Ferrari ซึ่งเป็นปีที่เขาต้องแข่งขันกับเพื่อนร่วมทีมอย่าง Peter Collins ที่สุดท้ายตัดสินใจยอมสละรถของตัวเองให้ Juan Manuel Fangio เพื่อให้เขามีโอกาสคว้าแชมป์โลกสมัยที่ 4 ไปครองได้

Juan Manuel Fangio
Image Source from: F1

จุดสูงสุดของ Juan Manuel Fangio อยู่ที่ปี 1957 เมื่อเขากลับไปขับให้กับ Maserati และสร้างหนึ่งในการแข่งขันที่ดีที่สุดของเขาใน German Grand Prix ณ สนาม Nurburgring ด้วยการขับที่ดุดันและกลยุทธ์การเข้าพิทที่รวดเร็วแซงนักแข่งคนอื่นได้ในรอบสุดท้าย ทำให้เขาคว้าแชมป์โลกสมัยที่ห้า และเป็นสถิติที่ไม่มีใครทำลายได้นานถึง 46 ปี หลังจากนั้น Juan Manuel Fangio ก็ตัดสินใจวางมือจากวงการ ทำให้ในปี 1958 เป็นการต่อสู้กันระหว่าง Mike Hawthorn และ Stirling Moss อย่างดุเดือด ซึ่งสุดท้ายแล้ว Mike Hawthorn ก็สามารถคว้าแชมป์โลกได้และเป็นนักขับชาวอังกฤษคนแรกที่ทำได้สำเร็จ

การเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ของรถแข่ง F1 ได้ถือกำเนิดขึ้นจากทีม “Cooper” นำโดย Charles และ John Cooper ที่เป็นทีมขนาดเล็กและมีงบประมาณจำกัด พวกเขาได้ทดลองใช้เครื่องยนต์วางหลังในรถแข่ง Formula 3 มาตั้งแต่ปลายยุค 1940s เพราะทำให้การออกแบบรถง่ายและมีน้ำหนักเบาขึ้น โดยการนำเครื่องยนต์มาวางด้านหลังคนขับ แล้วขับเคลื่อนล้อหลังโดยตรงด้วยโซ่ ซึ่งการทดลองนี้ประสบความสำเร็จอย่างดีในรถแข่งขนาดเล็ก

Form left to right Charles และ John Cooper founded of Cooper’s Team 
Image Source from: National Motorsport Academy

และแล้วช่วงเวลาแห่งการเฉิดฉายก็มาถึง เมื่อ F1 เปลี่ยนกฎระเบียบเรื่องขนาดเครื่องยนต์ในปี 1959 ทีม Cooper จึงตัดสินใจนำแนวคิดนี้มาใส่ในรถ F1 ของพวกเขาคือ “Cooper T51” ที่ใช้เครื่องยนต์ Coventry Climax ขนาด 2,500 ซีซี 4 สูบวางอยู่ด้านหลังคนขับ ซึ่งผลของการกระทำครั้งนี้ทำให้จุดศูนย์ถ่วงของรถย้ายมาอยู่ตรงกลางมากขึ้น ส่งผลให้ความสมดุลของรถมีมากขึ้น การยึดเกาะถนนที่มากขึ้นจากน้ำหนักของเครื่องที่อยู่เหนือล้อหลังทำให้รถสามารถเร่งออกจากโค้งได้เร็วกว่าคู่แข่งอย่างเห็นได้ชัด และด้วยความสามารถของ Jack Braham ที่ได้เข้ามาเป็นกำลังสำคัญในการพัฒนารถ Cooper T51 แม้ว่ากำลังเครื่องยนต์ของรถจะน้อยกว่า Ferrari แต่ด้วยความสามารถในการควบคุมรถที่เหนือกว่าทำให้ชนะได้อย่างต่อเนื่อง ซึ่งฤดูกาล 1959 จบลงอย่างน่าทึ่งที่ United States Grand Prix สนาม Sebring International Raceway เมืองฟลอริด้า ประเทศสหรัฐอเมริกา Jack Brabham ที่นำการแข่งขันอยู่ได้ทำเชื้อเพลิงหมดก่อนถึงเส้นชัย แต่ด้วยความเป็นนักสู้ เขาตัดสินใจลงจากรถและเข็นรถเป็นระยะทาง 400 เมตรข้ามเส้นชัยด้วยตัวเองจนคว้าตำแหน่งแชมป์โลกมาครองได้สำเร็จ

Jack Brabham in Cooper T51
Image Source from: F1

ชัยชนะของ Jack Brabham และทีม Cooper ในปี 1959 ถือเป็นการปฏิวัติวงการ F1 อย่างแท้จริง เพราะมันพิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าแนวคิดการออกแบบรถแข่งของเครื่องวางหน้าแบบเดิมนั้นล้าสมัยไปแล้ว ทีมใหญ่ๆ อย่าง Ferrari และ Lotus ได้หันมาพัฒนาและเปลี่ยนการออกแบบรถของตัวเองให้เป็นเครื่องยนต์วางหลังทั้งหมดในเวลาต่อมา และนับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา รถแข่ง F1 ทุกคันก็ใช้การออกแบบเครื่องยนต์วางหลังเป็นมาตรฐานมาจนถึงปัจจุบัน

ยุคแห่งการพัฒนาของเทคโนโลยีและความปลอดภัยได้ถูกเริ่มต้นขึ้นในช่วงยุค 1960s (1960-1969) ถ้าพูดถึงตัวถังของรถแข่งในยุคก่อนหน้า ส่วนใหญ่จะสร้างด้วยตัวถังแบบ Space-frame ซึ่งประกอบด้วยท่อเหล็กจำนวนมากเชื่อมต่อกันเป็นโครงสร้างคล้ายกรงนก แล้วนำแผงตัวถังอลูมิเนียมมาหุ้มไว้ด้านนอกเพื่อความสวยงามและตามหลักอากาศพลศาสตร์ การออกแบบนี้มีข้อเสียคือมีน้ำหนักมากและมีปัญหาเรื่องความแข็งแรงทางโครงสร้าง ทำให้รถบิดตัวได้ง่ายเมื่อเข้าโค้งด้วยความเร็วสูง ซึ่งส่งผลเสียต่อการควบคุมรถ แต่ปัญหาเหล่านี้ก็ได้ถูกแก้ไขได้ในปี 1962 โดย Colin Chapman ผู้ก่อตั้งและหัวหัวหน้าทีม Lotus ได้ออกแบบรถ “Lotus25” โดยใช้แรงบันดาลใจจากเทคโนโลยีโครงสร้างแบบชิ้นเดียว (Monocoque) ของการสร้างเครื่องบิน ซึ่งทำให้ตัวถังรถแข่งมีความแข็งแรงและต้านทานการบิดตัวได้มากขึ้น ทำให้สามารถควบคุมได้แม่นยำขึ้นในขณะเข้าโค้ง รวมถึงไปถึงน้ำหนักรถเบาขึ้นเนื่องจากใช้แผ่นอะลูมิเนียมน้อยกว่าและไม่จำเป็นต้องใช้ท่อเหล็กจำนวนมาก ส่งผลให้รถ Lotus 25 ที่ขับโดยนักแข่งในตำนานอย่าง Jim Clark ประสบความสำเร็จอย่างล้นหลาม โดย Jim Clark สามารถคว้าแชมป์โลกได้ในปี 1963 และทำให้ทีม Lotus เป็นทีมแรกที่คว้าแชมป์ด้วยรถแข่งโครงสร้าง Monocoque

Lotus25 Cutaway Drawing
Image Source from: Auto Evolution

ความสำเร็จของ Lotus 25 ทำให้ทีมอื่น ๆ ใน Formula 1 ต้องหันมาพัฒนาตัวถังแบบ Monocoque เป็นของตัวเองอย่างเร่งด่วน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในปี 1966 เมื่อ F1 เปลี่ยนกฎให้ใช้เครื่องยนต์ขนาดใหญ่ที่มีความจุถึง 3.0 ลิตรซึ่งมีขนาดใหญ่กว่าเดิมคือ 1.5 ลิตรเป็นอย่างมาก ทำให้การที่รถมีน้ำหนักเบาและแข็งแรงกลายเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาตัวถังแบบ Monocoque ก็ได้กลายเป็นมาตรฐานในการออกแบบรถแข่ง F1 และเป็นหัวใจสำคัญในด้านความปลอดภัยของรถยุคใหม่มาจนถึงปัจจุบัน นอกจากตัวถังรถแล้วในปี 1968 ทีม Lotus และ Colin Chapman คนดีคนเดิมได้ทดลองนำ ปีก(Aerofoils) มาติดตั้งบนรถ “Lotus49” เป็นครั้งแรกในการแข่งขัน Monaco Grand Prix เพื่อเป้าหมายหลักคือการสร้างแรงกด (Downforce) ในการยึดเกาะถนนที่มากขึ้น โดยมี Graham Hill เป็นนักขับคนแรกที่ได้ใช้เทคโนโลยีนี้ ถึงแม้มันจะเป็นเพียงปีกเล็กๆที่ติดตั้งอยู่บนเสา แต่ก็สร้างผลลัพธ์ได้อย่างชัดเจน ทีมอื่นๆจึงรีบนำปีกมาติดตั้งบนรถของตัวเองอย่างรวดเร็ว ทำให้ในช่วงปลายปี 1968 รถเกือบทุกคันบนกริดสตาร์ทมีปีกทั้งด้านหน้าและด้านหลัง แต่ด้วยความที่กฎระเบียบเรื่องปีกยังไม่เข้มงวด ทำให้ทีมต่างๆออกแบบปีกที่ดูแปลกตาและอันตรายเพื่อสร้างแรงกดให้ได้มากที่สุด เช่น การใช้ปีกขนาดใหญ่ที่ติดตั้งบนเสาสูงๆเหนือเครื่องยนต์ เพื่อให้ได้รับกระแสลมที่สะอาดกว่า อย่างไรก็ตามการออกแบบที่ขาดความคงทนนี้ได้นำไปสู่อุบัติเหตุหลายครั้ง เมื่อปีกหักระหว่างการแข่งขัน

เช่นในปี 1969 การแข่งขัน Spanish Grand Prix ที่สนาม Montjuic Circuit รถของ Graham Hill และ Jochen Rindt นักแข่งจากทีม Lotus ได้ประสบอุบัติเหตุอย่างรุนแรงเมื่อปีกหลังที่อยู่บนเสาสูงได้หักระหว่างการแข่งขันในขณะที่รถวิ่งด้วยความเร็วสูง ทำให้ทั้งคู่สูญเสียการควบคุมและพุ่งเข้าชนกำแพงสนามอย่างรุนแรง โชคดีที่พวกเขาได้รับบาดเจ็บไม่ถึงแก่ชีวิตแต่ก็แสดงให้เห็นถึงความเสี่ยงที่น่ากลัว FIA จึงได้ออกกฎใหม่ทันทีเพื่อห้ามการใช้ปีกที่ติดตั้งบนเสาสูงและกำหนดให้ปีกต้องยึดติดกับตัวถังรถอย่างแน่นหนาและแข็งแรง ซึ่งเป็นกฎระเบียบที่ถูกพัฒนามาจนถึงปัจจุบัน ถือว่าเป็นเครื่องยืนยันว่าอุบัติเหตุครั้งนั้นไม่ได้เกิดขึ้นโดยเปล่าประโยชน์ แต่ได้กลายเป็นบทเรียนสำคัญที่ผลักดันให้วงการ F1 พัฒนาไปสู่มาตรฐานด้านความปลอดภัยที่สูงขึ้นในที่สุด

อีกเรื่องที่สำคัญในปี 1968 คือการเข้ามาของสปอนเซอร์อย่างเป็นทางการในกีฬา F1 โดยในช่วงแรกของกีฬานี้ ทีมที่เข้าแข่งขันมักจะเป็นทีมโรงงาน ที่ได้รับเงินสนับสนุนเต็มที่จากบริษัทผู้ผลิตรถยนต์ของตัวเอง เช่น Ferrari, Mercedes-Benz, หรือ Maserati ซึ่งใช้ F1 เป็นเครื่องมือในการโปรโมตแบรนด์ของตัวเองอยู่แล้ว จึงไม่มีความจำเป็นต้องหาสปอนเซอร์จากบริษัทอื่นๆมาติดบนรถ แต่ความชิบหายมันก็เกิดขึ้นเมื่อทีมแข่งส่วนใหญ่เริ่มประสบปัญหาทางการเงินจากการที่ผู้ผลิตรถยนต์ลดงบประมาณลง ทำให้ Colin Chapman แห่ง Lotus ต้องมองหาแหล่งเงินทุนใหม่ เขาจึงได้ทำข้อตกลงกับบริษัทบุหรี่ Imperial Tobacco เพื่อนำแบรนด์ “Gold Leaf” มาติดบนรถของทีม Lotus ซึ่งการกระทำนี้ถือได้ว่าเป็นสิ่งที่ไม่เคยมีใครทำมาก่อนสำหรับการที่นำสินค้าที่ไม่เกี่ยวข้องกับวงการแข่งรถมาติดอยู่บนรถแข่ง แต่มันกลับสร้างผลดีให้กับทีมเพราะการมาของสปอนเซอร์ได้ให้เงินทุนจำนวนมหาศาลแก่ทีม Lotus ทำให้พวกเขาสามารถพัฒนาและแข่งขันได้อย่างมีประสิทธิภาพ

Imperial Tobacco “Gold Leaf” F1’s First Sponsorship
Image Source from: NSS Sports

หลังความสำเร็จของ Lotus ทีมอื่นๆใน F1 ก็ตระหนักได้ว่านี่คือทางรอดใหม่สำหรับวงการ ดังนั้นภายในเวลาไม่กี่ปี รถแข่ง F1 ทุกคันก็มีสปอนเซอร์จากบริษัทต่าง ๆ ติดอยู่เต็มไปหมด โดยส่วนใหญ่จะเป็นบริษัทบุหรี่ในยุคแรกเริ่ม เช่น John Player Special, Marlboro และ Gitanes จากการเป็นเกมกีฬาของทีมโรงงานสู่การเป็นธุรกิจขนาดใหญ่ที่ขับเคลื่อนด้วยเงินทุนจากบริษัทข้ามชาติ ซึ่งเป็นรากฐานของ F1 ในปัจจุบันที่ทุกๆทีมต่างมีโลโก้ของสินค้าติดอยู่ทั่วทั้งรถและชุดนักแข่งจนแทบจะไม่มีพื้นที่ว่างให้เห็นเลย

มาถึงในทศวรรษที่ 3 (1970-1979) ของ F1 กลับเริ่มต้นด้วยความโศกเศร้าของ Jochen Rindt นักแข่งชาวออสเตรียจากทีม Lotus ที่ได้สร้างผลงานได้อย่างยอดเยี่ยมด้วยการคว้าแชมป์ถึง 5 สนามกับรถ Lotus72 ถึงแม้รถจะสร้างปัญหาให้เขาอยู่หลายๆครั้งในการแข่งขัน แต่มันกลับพาให้เขาได้มีคะแนนสะสมนำห่างนักแข่งคนอื่นอย่างขาดลอย จนเมื่อการแข่งขันเดินทางมาถึงสนามที่ Monza ประเทศอิตาลี ซึ่งเป็นสนามที่ขึ้นชื่อเรื่องความเร็วสูง รถ Lotus72 ของ Rindt ก็เกิดอุบัติเหตุอย่างรุนแรงจากเพลาขับด้านหน้าขวาได้หักออกจากกัน ทำให้รถเสียการควบคุมทันทีและพุ่งเข้าชนกับแผงกั้น Armco อย่างรุนแรง ทำให้เขาเสียชีวิตทันที และจากการสอบสวนหลังเกิดเหตุพบว่า Jochen Lindt ไม่ได้คาดเข็มขัดนิรภัยแบบ 5 จุดครบถ้วนตามกำหนด โดยเขาไม่ได้คาดส่วนที่ผ่านเป้า (Crotch Strap) เนื่องจากนักแข่งในยุคนั้นมักจะเชื่อว่าหากเกิดเพลิงไหม้จะไม่สามารถหนีออกจากรถได้ทัน แล้วด้วยเหตุนี้เมื่อรถพุ่งชนอย่างรุนแรงทำให้ร่างของ Jochen Ridnt ไถลไปกระแทกกับตัวรถและทำให้เข็มขัดนิรภัยส่วนที่เหลือรัดบริเวณคอของเขา รวมถึงความไม่พร้อมของสนามที่ไม่ติดตั้งแผงกั้นไว้กับพื้นอย่างแข็งแรง ทำให้แผงกั้นหลุดออกมาและเฉือนส่วนหน้าของรถแข่งออกไป จนเป็นที่มาของการเสียชีวิตของนักแข่งผู้นี้ ถึงแม้เขาจะเสียชีวิตไปแล้วแต่ในตอนสิ้นสุดของฤดูกาล 1970 เขากลับได้กลายเป็นแชมป์โลกเพียงคนเดียวในประวัติศาสตร์ของ F1 ที่ได้รับตำแหน่งหลังจากเสียชีวิตจากผลงานอันยอดเยี่ยมจากช่วงต้นของฤดูกาล

Jochen Lindt
Image Source from: F1

แม้ทศวรรษนี้จะเปิดฉากด้วยความเศร้า แต่เรื่องราวในช่วงปลายของทศวรรษกลับดุเดือดและน่าสนใจอย่างมาก ถ้าใครเคยได้ดูภาพยนตร์เรื่อง “Rush” ในปี 2013 ที่นำแสดงโดย Chris Hemsworth และ Daniel Bruhl คงจะพอคุ้นๆกันอยู่บ้าง ซึ่งภาพยนตร์เรื่องนี้ได้ถูกสร้างมาจากเรื่องราวของ Niki Lauda แชมป์โลกปี 1975 และ James Hunt เหตุการณ์เกิดขึ้นในปี 1976 การต่อสู้ของทั้งสองนี้คนเต็มไปด้วยเรื่องราวที่น่าจดจำ โดยเฉพาะเมื่อ Lauda ประสบอุบัติเหตุไฟไหม้อย่างรุนแรงเป็นเวลา 55 วินาทีหลังจากชนเข้ากับกำแพง ที่สนาม Nürburgring เกือบจะทำให้เขาเสียชีวิต แต่ด้วยจิตใจที่ไม่ยอมแพ้ Lauda ใช้เวลาเพียง 6 สัปดาห์ก็สามารถกลับมาลงสนามแข่งได้อีกครั้งที่ Italian Grand prix ณ สนาม Monza กับสภาพที่ยังมีผ้าพันแผลพันอยู่เต็มหน้า การแข่งขันของทั้งสองคนต้องไปตัดสินกันที่สนามสุดท้ายที่ญี่ปุ่น ซึ่งฝนตกหนักจนทำให้ Lauda ตัดสินใจถอนตัวออกจากการแข่งขันเพราะไม่ต้องการเสี่ยงชีวิตอีกครั้ง ทำให้ James Hunt สามารถคว้าแชมป์โลกไปครองได้ด้วยคะแนนที่เฉือนกันเพียง 1 คะแนนเท่านั้น

RUSH (2013) Movie
Image Source from: IMDB

และในปี 1977 หลักการ “Ground Effect” ก็ได้ถูกนำมาใช้อย่างจริงจังจากเจ้าเก่าเจ้าเดิม Colin Chapman แห่งทีม Lotus โดยใช้ปีกที่ซ่อนอยู่ใต้ท้องรถร่วมกับการออกแบบตัวถังรูปปีกเครื่องบินกลับด้าน (Inverted Aerofoil) และมี “กระโปรง” ที่เลื่อนได้ (Sliding Skirts) อยู่บริเวณด้านข้างของตัวรถ เมื่อรถวิ่งด้วยความเร็วสูง กระโปรงนี้จะแนบสนิทกับพื้นสนาม ทำให้เกิดพื้นที่แรงดันต่ำใต้ท้องรถ และสร้าง Downforce ได้อย่างมหาศาล ซึ่งช่วยให้รถเกาะถนนและเข้าโค้งได้เร็วขึ้นอย่างมาก แต่มันก็มาพร้อมกับความอันตราย เพราะมันจะทำงานได้ก็ต่อเมื่อรถวิ่งด้วยความเร็วสูงเท่านั้น หากรถเสียการยึดเกาะหรือเกิดความผิดพลาดใดๆ ขึ้น แรงกดก็จะหายไปในทันที ทำให้นักขับควบคุมรถไม่ได้และเกิดอุบัติเหตุร้ายแรงได้ โดยรถคันแรกที่ได้ใส่เทคโนโลยีนี้ลงไปคือ Lotus78 จนมาประสบความสำเร็จในรถแข่ง Lotus79 กับการคว้าแชมป์โลกปี 1978 ของ Mario Andretti

เมื่อเข้าสู่ทศวรรษ 1980 ถือได้ว่าเป็นจุดเริ่มต้นของยุคแห่งเครื่องยนต์เทอร์โบและการต่อสู้ของ 2 นักขับที่เป็นตำนานอย่าง Ayrton Senna และ Alain Prost เครื่องยนต์เทอร์โบถูกริเริ่มโดยทีม Renault ตั้งแต่ช่วงปลายของยุค 1970 แต่ได้เข้ามามีบทบาทสำคัญในยุคนี้จากการที่ทีมใหญ่อย่าง Ferrari, BMW, Honda, และ Porsche (ภายใต้แบรนด์ TAG) ก็เริ่มพัฒนาเครื่องยนต์เทอร์โบของตัวเอง โดยใช้เครื่องยนต์ขนาดเล็กเพียง 1.5 ลิตร แต่ด้วยการอัดอากาศจากเทอร์โบชาร์จเจอร์ ทำให้เครื่องยนต์เหล่านี้มีกำลังที่เหนือกว่าเครื่องยนต์แบบดูดอากาศธรรมชาติอย่างมหาศาล ซึ่งผลงานที่เรียกได้ว่าประสบความสำเร็จของเครื่องยนต์เทอร์โบคือการคว้าแชมป์โลกของ Nelson Piquet จากทีม Brabham ด้วยรถที่มีแรงม้ามากกว่า 1,000 แรงม้าจากเครื่องยนต์ของ BMW

แต่มันก็ใช่ว่าจะมีแต่เรื่องดี ๆ เพราะเครื่องยนต์เทอร์โบได้ถูก FIA สั่งห้ามการใช้งานตั้งแต่ปี 1989 เป็นต้นไปเนื่องจากอาการที่เรียกว่า “เทอร์โบแล็ก” (Turbo Lag) ด้วยความที่เทอร์โบมีขนาดใหญ่มาก ทำให้เกิดอาการหน่วงของเครื่องยนต์เมื่อคนขับกดคันเร่ง เครื่องยนต์จะยังไม่ตอบสนองทันที แต่เมื่อรอบเครื่องถึงจุดที่เทอร์โบเริ่มทำงาน กำลังมหาศาลจะถาโถมเข้ามาอย่างรุนแรง ทำให้รถมีความเร็วสูงมากในทางตรง แต่ก็ควบคุมได้ยากมากเมื่ออยู่ในโค้ง นักแข่งในยุคนั้นต้องใช้ทักษะการควบคุมรถอย่างสูงและใช้ความกล้าหาญอย่างมากในการควบคุมรถที่เปรียบเสมือน ระเบิดมือที่ติดล้อพวกเขาต้องเรียนรู้ที่จะควบคุมแรงม้าที่มหาศาลและอาการเทอร์โบแล็ก เพื่อให้รถสามารถเข้าโค้งและออกจากโค้งได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งทำให้นักแข่งระดับตำนานอย่าง Alain Prost และ Ayrton Senna โดดเด่นขึ้นมาในยุคนี้

Form left to right Ayrton Senna and Alain Prost
Image Source from: CNN

ทุกอย่างมันเริ่มต้นขึ้นในปี 1988 จากการที่ Ayrton Senna ย้ายจาก Lotus มาเข้าทีม McLaren ในขณะที่ Alain Prost ได้ครองตำแหน่งแชมป์โลกอยู่ ซึ่งในฤดูกาลแรกของการเป็นเพื่อนร่วมทีม ทั้งสองคนร่วมกันคว้าชัยชนะได้ถึง 15 สนามจาก 16 สนาม นับว่าเป็นสถิติที่ไม่เคยมีใครทำได้มาก่อน ทำให้ McLaren คว้าแชมป์โลกประเภทผู้สร้าง (Constructors’ Championship) และเป็น Ayrton Senna ที่สามารถคว้าแชมป์โลกนักขับ (Drivers’ Championship) ไปได้ในท้ายที่สุด ผ่านมาถึงฤดูกาลที่ 1989 ใน San Marino Grand Prix ณ สนาม Imola ประเทศอิตาลี ทั้งคู่มีข้อตกลงกันว่าใครออกตัวได้ดีกว่าจะเป็นผู้นำไปจนถึงการเข้าพิทสต็อปครั้งแรก แต่ Ayrton Senna ได้ผิดคำพูดโดยการแซง Alain Prost ขึ้นนำหลังการแข่งขันเริ่มต้นใหม่หลังรถ Safety Car ออกจากสนาม ซึ่งเหตุการณ์นี้ทำให้ Alain Prost รู้สึกโกรธอย่างมาก และฟางเส้นสุดท้ายของทั้งสองคนก็ได้เกิดขึ้นที่ Japanese Grand Prix ณ สนาม Suzuka ซึ่งเป็นรายการรองสุดท้ายของฤดูกาล Alain Prost มีคะแนนสะสมนำ Ayrton Senna อยู่ 16 คะแนน ซึ่งหมายความว่า หาก Ayrton Senna ไม่สามารถคว้าชัยชนะในรายการนี้ได้ Alain Prost ก็จะเป็นแชมป์โลกทันที Ayrton Senna รู้ดีว่านี่คือโอกาสสุดท้ายของเขาในการพลิกสถานการณ์ และต้องชนะให้ได้สถานเดียว ในรอบที่ 46 ของการแข่งขัน Ayrton Senna พยายามแซงในโค้งชิเคนสุดท้ายก่อนเข้าพิท แต่ Alain Prost ได้หักรถเข้าขวางทำให้ทั้งคู่ชนกัน รถของ Alain Prost ต้องออกจากสนามทันที ส่วน Ayrton Senna พยายามกลับมาแข่งต่อและเข้าเส้นชัยเป็นอันดับหนึ่ง แต่ชัยชนะของเขากลับไม่ถูกยอมรับจาก FIA “Jean-Marie Balestre” ประธาน FIA ในขณะนั้น ซึ่งเป็นชาวฝรั่งเศสและเป็นเพื่อนสนิทของ Alain Prost ได้ตัดสินว่า Ayrton Senna ถูก “ตัดสิทธิ์จากการแข่งขัน” (Disqualified) ด้วยเหตุผล 2 ประการ คือ

  1. การขับรถด้วยความช่วยเหลือจากภายนอก: การที่เขาได้รับความช่วยเหลือจากผู้คุมสนาม
  2. การขับออกนอกเส้นทางเพื่อกลับมาแข่ง: การที่เขาขับผ่านเส้นทางหนีภัยเพื่อกลับเข้ามาในสนาม ซึ่งถือว่าผิดกฎ

ผลการตัดสินนี้ทำให้ชัยชนะตกเป็นของ Alessandro Nannini และที่สำคัญกว่านั้นแชมป์โลกปี 1989 เป็นของ Alain Prost ตั้งแต่ยังไม่จบฤดูกาล การตัดสินครั้งนี้ได้สร้างความขัดแย้งระหว่าง Ayrton Senna และ FIA อย่างรุนแรง Ayrton Senna เชื่อว่านี่คือการตัดสินที่ไม่ยุติธรรมและมีอคติจาก Jean-Marie Balestre และถึงกับเคยกล่าวว่า “พวกเขาพยายามขโมยตำแหน่งของผม” เหตุการณ์นี้เป็นต้นเหตุของความบาดหมางที่ยังคงดำเนินต่อไปในยุค 1990 ด้วยเช่นกัน

นอกจากเครื่องยนต์เทอร์โบที่เป็นจุดเด่นของยุคนี้ ยังเป็นยุคที่เทคโนโลยีใหม่ได้ถูกนำมาใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและความปลอดภัยของรถแข่ง ตัวถังคาร์บอนไฟเบอร์ถูกนำมาใช้ครั้งแรกโดยทีม McLaren ในปี 1981 และกลายเป็นมาตรฐานของรถแข่ง F1 ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา นอกจากนี้ทีม Lotus ยังได้นำระบบช่วงล่างแบบ Active Suspension มาใช้ ซึ่งควบคุมการทำงานของช่วงล่างด้วยคอมพิวเตอร์เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการยึดเกาะถนน และในช่วงปลายทศวรรษ 1989 ทีม Ferrari ยังได้นำ เกียร์ Semi-Automatic ที่ควบคุมด้วยปุ่มบนพวงมาลัยมาใช้เป็นครั้งแรก ซึ่งถือเป็นการปูทางสู่การใช้เกียร์แบบ Paddle Shift ที่เราเห็นกันในปัจจุบัน

เรื่องราวหลากหลายอารมณ์ของทศวรรษ 1990 ที่ทำให้หลายคนได้จดจำกับการขับเคี่ยวหรือจะเรียกได้ว่าทะเลาะกันอย่างต่อเนื่องของ Ayrton Senna และ Alain Prost ได้ก้าวสู้บทใหม่เพราะพวกเขาไม่ได้อยู่ทีมเดียวกันอีกต่อไปแล้ว Alain Prost ได้ย้ายไปขับให้กับ Ferrari ในฐานะแชมป์โลก ส่วน Ayrton Senna ยังคงอยู่กับทีม McLaren และมุ่งมั่นที่จะแก้แค้นจากความขัดแย้งที่สนามซูซูกะในปี 1989 ที่ทำให้เขาพลาดแชมป์โลกไป ทุกอย่างในฤดูกาล 1990 ยังคงดำเนินไปไม่ต่างจากปีก่อนหน้ามากนัก จนกระทั่งมาถึงจุดตัดสินที่สนาม Suzuka ซึ่งเป็นสนามตัดสินแชมป์โลกของทั้งสองคนอีกครั้ง ความขัดแย้งเรียกว่าเริ่มต้นตั้งแต่หัววัน Ayrton Senna จบรอบควอลิฟายในตำแหน่งโพล ซึ่งตามกฎแล้วจะอยู่ทางฝั่งซ้ายของสนาม แต่เขาเชื่อว่าตำแหน่งนี้เป็นฝั่งที่สนามแข่งสกปรกและเสียเปรียบในการออกตัว เขาพยายามขอให้ FIA ย้ายตำแหน่งโพลไปอยู่ทางฝั่งขวาที่สะอาดกว่า แต่คำขอของเขาถูกปฏิเสธ ทำให้ Ayrton Senna รู้สึกว่าเป็นการกระทำที่ไม่ยุติธรรมและจงใจช่วยเหลือ Alain Prost

เมื่อการแข่งขันเริ่มต้น Alain Prost ซึ่งออกตัวได้ดีกว่าจากตำแหน่งที่ 2 ที่อยู่ทางฝั่งที่สะอาดกว่า ก็พุ่งขึ้นนำ Ayrton Senna ไปในทันที แต่ Ayrton Senna ก็ไม่ยอมลดความเร็ว เขาตัดสินใจพุ่งรถเข้าชน Alain Prost เต็ม ๆ ในโค้งแรกของสนาม ทำให้รถของทั้งคู่พุ่งออกจากสนามไปกองอยู่กับกำแพงและไม่สามารถแข่งต่อได้ ซึ่งการชนครั้งนี้เป็นเจตนาของ Ayrton Senna อย่างชัดเจน เพราะเขาเชื่อว่าหาก Alain Prost ได้ตำแหน่งแชมป์โลกไปครองด้วยการโกงจาก FIA เขาจะไม่ยอมให้เรื่องนั้นเกิดขึ้น และการตัดสินใจของเขาก็ทำให้เขาคว้าแชมป์โลกไปครองทันที เนื่องจาก Alain Prost ไม่สามารถทำคะแนนได้ การกระทำของ Ayrton Senna ในครั้งนี้ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักจากหลายฝ่าย โดยเฉพาะจาก Alain Prost ที่กล่าวหาว่า Ayrton Senna เป็นคนไม่มีศีลธรรมและอันตราย อย่างไรก็ตามการปะทะในครั้งนี้ก็ถือเป็นบทสรุปของเรื่องราวการต่อสู้ที่ดุเดือดระหว่างทั้งสอง ซึ่งจบลงด้วยการที่ Ayrton Senna คว้าแชมป์โลกสมัยที่ 2 มาครอง แต่สุดท้ายหลังจากเหตุการณ์ในครั้งนี้ Alain Prost ได้ย้ายไปอยู่กับทีม Williams ในปี 1993 และคว้าแชมป์โลกได้อีกครั้งก่อนจะขออำลาวงการไป แล้วอยู่ดี ๆ ความสัมพันธ์ของทั้งคู่ก็ดีขึ้นจนกลับมาเป็นเพื่อนกันอีกครั้ง สร้างความมึนงงถึงความสัมพันธ์ของทั้งคู่ให้กับผู้ชมและสื่อจากทั่วโลก

Prost and Senna collide in title showdown during the 1989 Japanese GP
Image Source from: F1

1994 กับโศกนาฏกรรมที่สนาม Imola ประเทศอิตาลี

ทุกอย่างมันเริ่มต้นในวันศุกร์ที่ 29 เมษายน Rubens Barrichello นักแข่งดาวรุ่งชาวบราซิลซึ่งเป็นเพื่อนสนิทของ Ayrton Senna ได้ขับรถของทีม Jordan ด้วยความเร็วสูงที่โค้ง Variante Bassa แต่แล้วรถก็เสียการควบคุมและพุ่งเข้าชนกำแพงยางกั้นสนามอย่างรุนแรงจนรถตีลังกากลางอากาศและหยุดนิ่งในสภาพที่พังยับเยิน กล้องที่จับภาพเหตุการณ์ได้เห็นรถของ Rubens Barrichello ตีลังกาและกระแทกกับรั้วกั้นอย่างแรงจนดูเหมือนว่าเขาจะไม่รอดชีวิตจากการชนครั้งนี้ อย่างไรก็ตาม แพทย์ประจำสนามและทีมงานกู้ภัยรีบไปช่วยเหลือเขาอย่างรวดเร็วและพบว่าเขายังคงมีสติอยู่ แต่ก็อยู่ในอาการบาดเจ็บสาหัส เขาถูกนำตัวส่งโรงพยาบาลในทันที และพบว่าเขาได้รับบาดเจ็บที่จมูกและซี่โครง รวมถึงมีรอยฟกช้ำตามร่างกาย ซึ่งเหตุการณ์นี้เป็นเสมือนสัญญาณแห่งความหายนะที่กำลังจะตามมาในอีกไม่กี่ชั่วโมง

ในวันเสาร์ที่ 30 เมษายน คำเตือนครั้งที่ 2 ก็ได้เกิดขึ้น ระหว่างรอบควอลิฟาย Roland Ratzenberger นักแข่งชาวออสเตรียจากทีม Simtek พุ่งชนกำแพงที่ความเร็วสูงกว่า 300 กม./ชม. หลังจากปีกหน้ารถหลุด อุบัติเหตุครั้งนี้ทำให้ Roland Ratzenberger เสียชีวิตคาที่ นี่คือครั้งแรกในรอบ 12 ปีที่นักแข่ง F1 เสียชีวิตระหว่างการแข่งขัน ทำให้บรรยากาศในพิตเลนเต็มไปด้วยความตึงเครียดและความโศกเศร้า Aryton Senna รู้สึกเสียใจและเป็นกังวลอย่างมากกับทั้ง 2 เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เขาพยายามขอร้องให้เพื่อนนักขับช่วยกันผลักดันให้ FIA ให้ความสำคัญกับเรื่องความปลอดภัยมากขึ้น แต่มันคงสายเกินไป เนื่องจากก่อนหน้านี้ FIA เพิ่งได้ทำการยกเลิก ระบบควบคุมการยึดเกาะถนน (Traction Control), ระบบช่วงล่างแบบแอคทีฟ (Active Suspension) และ ระบบช่วยออกตัว (Launch Control) โดยให้เหตุผลว่ากฎข้อนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อเน้นย้ำทักษะของนักขับและลดความซับซ้อนของรถ แต่ก็ทำให้รถขับยากขึ้นอย่างมาก

วันอาทิตย์ที่ 1 พฤษภาคม การแข่งขันเริ่มต้นขึ้นมาถึงรอบที่ 7 เหตุการณ์ที่สะเทือนขวัญที่สุดในประวัติศาสตร์ F1 ก็ได้เกิดขึ้น ในขณะที่ Ayrton Senna ซึ่งอยู่ในตำแหน่งผู้นำขับเข้าโค้ง Tamburello ซึ่งเป็นโค้งที่มีความเร็วสูงและอันตราย รถของเขา Williams FW16 ก็ได้เสียการควบคุมและพุ่งตรงไปชนกำแพงคอนกรีตอย่างรุนแรงด้วยความเร็วประมาณ 233 กม./ชม. กล้องวิดีโอบนรถของ Ayrton Senna ได้บันทึกภาพรถที่เสียการควบคุมและพุ่งเข้าชนอย่างไม่มีทีท่าว่าจะหักเลี้ยวได้เลย หลังจากที่รถหยุดนิ่ง เจ้าหน้าที่ทางการแพทย์รีบเข้าไปในที่เกิดเหตุในทันที และแพทย์ประจำทีมก็ได้ทำการปฐมพยาบาลเขาในที่เกิดเหตุ ก่อนที่จะรีบนำตัวเขาขึ้นเฮลิคอปเตอร์เพื่อส่งโรงพยาบาลในทันที หลังการสอบสวนอย่างละเอียดพบว่า ต้นเหตุของอุบัติเหตุครั้งนี้มาจาก ก้านพวงมาลัยที่ถูกดัดแปลง โดยทีมช่างได้ต่อก้านพวงมาลัยให้ยาวขึ้นเพื่อรองรับความต้องการของ Ayrton Senna แต่การเชื่อมที่ไม่ได้มาตรฐานทำให้ก้านพวงมาลัยเกิดหักในขณะที่รถกำลังเข้าโค้งพอดี ทำให้ Ayrton Senna ไม่สามารถบังคับรถได้อีกต่อไป และรถก็พุ่งเข้าชนกำแพงอย่างจัง แรงกระแทกที่รุนแรงทำให้ชิ้นส่วนของระบบกันสะเทือนหน้าทะลุหมวกกันน็อกของเขาและเข้าที่บริเวณศีรษะ ซึ่งเป็นสาเหตุของการเสียชีวิต

The destroyed car of Ayrton Senna after his crash during the 1994 San Marino Grand Prix in Imola
Image Source from: Mirror

การจากไปของ Ayrton Senna ในวัย 34 ปีสร้างความเศร้าโศกเสียใจให้กับผู้คนทั่วโลก และยังเป็นเครื่องเตือนใจที่สำคัญที่สุดว่าความเร็วและอันตรายของ F1 ในยุคนั้นถึงจุดที่ยอมรับไม่ได้อีกต่อไปหลังเหตุการณ์ครั้งนี้ สนาม Imola และโค้ง Tamburello ได้รับการปรับปรุงครั้งใหญ่ มีการสร้างโค้งชิเคนที่ทำให้รถต้องลดความเร็วลงอย่างมาก รวมถึงมีการปรับเปลี่ยนพื้นผิวของสนามและกำแพงให้มีความปลอดภัยมากขึ้นเพื่อลดแรงกระแทกหากเกิดอุบัติเหตุ โค้ง Tamburello จึงไม่ใช่แค่ชื่อของโค้งในสนามแข่ง แต่เป็นสัญลักษณ์ที่ตอกย้ำถึงความเปราะบางของชีวิตในกีฬาที่อันตรายอย่าง F1 และเป็นแรงผลักดันที่สำคัญที่สุดในการปฏิรูปกฎระเบียบด้านความปลอดภัยครั้งใหญ่ ซึ่งช่วยรักษาชีวิตนักแข่งอีกหลายร้อยคนในอนาคต

หลังจากโศกนาฏกรรมที่ Imola “Michael Schumacher” ก็ได้ก้าวขึ้นมาเป็นนักขับที่โดดเด่นที่สุดในยุคนั้น เขาคว้าแชมป์โลกสมัยแรกได้ในปี 1994 กับทีม Benetton ด้วยชัยชนะที่เต็มไปด้วยความดราม่าจากการปะทะกับคู่ปรับ Damon Hill ในสนามสุดท้ายของฤดูกาล และในปี 1995 เขาก็คว้าแชมป์โลกสมัยที่ 2 ติดต่อกัน ก่อนที่จะย้ายไปอยู่กับทีม Ferrari ที่กำลังอยู่ในช่วงขาลง ซึ่งเป็นการตัดสินใจที่หลายคนมองว่าเป็นเรื่องที่บ้ามาก ๆ แต่ Schumacher ก็สามารถปลุกชีพทีม Ferrari ให้กลับมาเป็นทีมที่ยิ่งใหญ่ได้อีกครั้งในช่วงปลายทศวรรษ ทำให้เขากลายเป็นที่รักของแฟน Ferrari ทั่วโลก

Michael Schumacher during practice for 1994 Japanese Grand Prix at Suzuka
Image Source from: F1

นอกจากการแข่งขันของ Michael Schumacher การขับเคี่ยวกันของ Damon Hill และ Jacques Villeneuve ก็เป็นอีกหนึ่งเรื่องราวที่น่าสนใจ Damon Hill สามารถคว้าแชมป์โลกได้ในปี 1996 กับทีม Williams ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่อารมณ์ความรู้สึกผสมผสานกันอย่างลงตัว เพราะเขาเป็นลูกชายของตำนานอย่าง Graham Hill การคว้าแชมป์โลกของเขาจึงเป็นชัยชนะที่เปี่ยมไปด้วยความหมายเชิงสัญลักษณ์ และในปี 1997 เพื่อนร่วมทีมของเขาอย่าง Jacques Villeneuve ที่เป็นนักขับหน้าใหม่ใน F1 ก็สามารถคว้าแชมป์โลกไปได้ด้วยการต่อสู้ที่ดุเดือดกับ Michael Schumacher ในสนามสุดท้ายของฤดูกาล

และในช่วงปลายของทศวรรษ McLaren ได้กลับมาทวงคืนความยิ่งใหญ่ด้วยรถที่ยอดเยี่ยมและนักขับชาวฟินแลนด์อย่าง Mika Häkkinen หรือ The Iceman ซึ่งเป็นคู่ปรับคนสำคัญของ Michael Schumacher การขับที่นิ่งและแม่นยำของ Mika Häkkinen ทำให้เขาคว้าแชมป์โลกได้ถึงสองสมัยติดต่อกันในปี 1998 และ 1999 การต่อสู้ของทั้งสองคนกลายเป็นไฮไลต์ของยุคนั้นเลย

Form left to right Mika Häkkinen and Michael Schumacher
Image Source from: F1

สำหรับประวัติศาสตร์ของกีฬา F1 ใน EP นี้ เราคงหยุดไว้ที่ปี 2000 ก่อน หลังจากนี้ก็เรียกได้ว่าจะใกล้เข้าสู่ยุคปัจจุบันแล้ว ไว้มาอ่านต่อกันใน EP ถัดไป ขอบคุณทุกคนมาก ๆ ที่เข้ามาอ่านจนถึงย่อหน้าสุดท้าย แล้วเราจะดู F1 ไปด้วยกัน บายยยย…

Share:
On Key

Related Posts

WATCHA GONNA ดู

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • คุกกี้ที่จำเป็น
    Always Active

    ประเภทของคุกกี้มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้ได้อย่างเป็นปกติ และเข้าชมเว็บไซต์ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้

  • คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์

    คุกกี้ประเภทนี้จะทำการเก็บข้อมูลการใช้งานเว็บไซต์ของคุณ เพื่อเป็นประโยชน์ในการวัดผล ปรับปรุง และพัฒนาประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ ถ้าหากท่านไม่ยินยอม ให้เราใช้คุกกี้นี้ เราจะไม่สามารถวัดผล ปรับปรุงและพัฒนาเว็บไซต์ได้

Save