ถึงแม้กราฟฟิตี้จะกำเนิดขึ้นบนความต่อต้านอำนาจ และท้าทายระบบที่มีอยู่ในสังคม แต่สิ่งเหล่านี้ยังคงอยู่ภายใต้กฏเกณฑ์ หรือบรรทัดฐานของสังคมที่ควรระลึกไว้อยู่เสมอ ซึ่งศิลปินที่ทำงานสตรีทอาร์ตย่อมเคารพกฏเกณฑ์เหล่านี้ ไม่ใช่แค่เพียงหลีกเลี่ยงเรื่องกฏหมาย แต่เป็นการปกป้องผลงานของตนเองด้วย และจากกรณีที่ผลงาน ‘JUST BE YOU’ ของ Carolina Adan Caro ศิลปินสาวชาวสเปน ที่ร่วมมือกับกรุงเทพมหานคร และสถาเอกอัครราชทูตฝรั่งเศสประจำประเทศไทย ในโปรเจกต์ “Krung Thep Streets Art” ถูกมือดี 3 คนบอมบ์งาน โดยผลงานตั้งอยู่บนอาคารแห่งหนึ่งในซอยเจริญกรุง 30 กลายเป็นกรณีศึกษาให้กับทุกคนที่ทำงานสตรีทอาร์ต ถ้าหากเราพูดในเชิงของกฏหมาย แน่นอนว่าคนที่ลงมือผิดเต็ม ๆ เพราะนี่เป็นผลงานที่ได้มอบให้ทางกรุงเทพฯ ถือเป็นทรัพย์สินที่ทางกรุงเทพฯต้องดูแล แต่ถ้าเป็นมุมมองศิลปะอะไรคือขอบเขตเส้นแบ่งระหว่างเสรีภาพในการสร้างสรรค์ หรือแค่เป็นการย่ำยีผลงานของผู้อื่นกันแน่?

‘JUST BE YOU’ by Carolina Adan Caro at ซ.เจริญกรุง 30 (Before)

‘JUST BE YOU’ by Carolina Adan Caro at ซ.เจริญกรุง 30 (After)
การบอมบ์งาน (Graffiti Bomb) คือ การพ่นข้อความ (Tag) ทับผลงานศิลปินคนอื่นที่อยู่ก่อนหน้า เพื่อประกาศศักดิ์ดา หรือแสดงความเป็นเจ้าของพื้นที่ในเชิงสัญลักษณ์ เป็นวัฒนธรรมอย่างหนึ่งของสตรีทอาร์ต ซึ่งถือเป็นสิ่งที่ทำกันทั่วไปในวงการนี้ แต่ก็เป็นที่ถกเถียงในสังคมว่าสมควรหรือไม่ หากผลงานชิ้นนั้นถูกจัดว่าเป็นสตรีทอาร์ตเชิงพาณิชย์ (Commercial Street Art)

Banksy vs Robbo (2009 - 2011)
เราจึงขอพาย้อนกลับไปยังศึกกราฟฟิตีที่โลกต้องจดจำ Banksy vs Robbo
Banksy ศิลปินนิรนามที่ใช้เทคนิคสเตนซิล ผลงานเสียดสีการเมืองและวัฒนธรรมป๊อปจนโด่งดังไปทั่วโลก ต่างจาก Robbo ตำนานยุค 80–90’s ที่ครองลอนดอนด้วยงานกราฟฟิตีดั้งเดิมบนรถไฟ อุโมงค์ และกำแพงเมือง

ความขัดแย้งปะทุขึ้นในปี 2009 เมื่อ Banksy ไปพ่นทับผลงานชิ้นสุดท้ายที่หลงเหลือของ King Robbo ก่อนจะรีไทร์ ที่ Regent’s Canal ซึ่งเป็นการละเมิดกฎเหล็กของวงการกราฟฟิตี การกระทำนี้ปลุกให้ Robbo กลับมาจากการรีไทร์เพื่อเอาคืน ศึกพ่นทับผลงานจึงเกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า จนกลายเป็นสนามรบไม่เป็นทางการของทั้งคู่ สงครามยืดเยื้อไปถึงปี 2011 ก่อนจะสิ้นสุดอย่างน่าเศร้า เมื่อ Robbo ประสบอุบัติเหตุเสียชีวิต Banksy จึงปิดฉากศึกครั้งนี้ด้วยการสร้างผลงานไว้อาลัย อ้างอิงจากชิ้นงานสุดท้ายที่ Robbo เคยฝากไว้ ราวกับเป็นการยอมรับในตัวตนของคู่ปรับผู้ล่วงลับ

หรือจะเป็นกรณีที่วงการสตรีทอาร์ตในไทยไม่เคยลืมเลือน เมื่อผลงานที่ MAMAFAKA (ตั้ม-พฤษ์พล มุกดาสนิท) ทำในโปรเจกต์ “Bukruk Street Art Festival” ถูกมือดีที่ใช้ชื่อแก๊งค์ว่า MAR043 พ่นทับผลงานจนไม่เหลือเค้าโครงเดิม ซึ่งนี่ถือว่าเป็นผลงานขนาดใหญ่ของพี่ตั้มที่ได้ทำไว้ก่อนจะเสียชีวิต ทำให้ทุกคนที่เคารพรักในผลงานของพี่ตั้มต่างรวมตัวเพื่อทาสี ทับผลงานที่บอมบ์ สุดท้ายหลงเหลือไว้เพียดวงตาอันเป็นเอกลักษณ์ที่เหลือรอดจากการบอมบ์ในครั้งนี้ ซึ่งหลายคนที่รักในผลงานของพี่ตั้มต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า ‘เสียดายที่ผลงานดี ๆ ถูกผลงานแบบนี้ทับถมไป ถ้าเป็นผลงานที่ดีกว่านี้อาจไม่เสียดาย’
แต่เหรียญนั้นมี 2 ด้านเสมอ มุมที่มองว่าเป็นสิ่งที่ไม่สมควรทำก็ไม่ได้ผิดอะไร ในมุมของคนที่กระทำ หากมองในด้านของกฏหมายแน่นอนว่าผิด แต่ถ้ามองให้ลึกลงไปในด้านศิลปะคนที่บอมบ์ก็อาจไม่ได้ผิดเช่นเดียวกัน เพราะหากทุกคนมองว่า “Graffiti Bomb” คือวัฒนธรรมที่ทำกันทั่วไปในวงการสตรีทอาร์ต สิ่งที่พวกเขาทำอาจดูไม่เหมาะสม เพียงแต่พวกเขาเหล่านั้นอาจต้องการพื้นที่ในการแสดงออกในแบบของตนเช่นเดียวกับศิลปินคนอื่นก็เท่านั้น
จากทั้งสองกรณีที่เราได้กล่าวไป ทำให้เราได้บทเรียนที่สำคัญอย่างหนึ่งว่า “สตรีทอาร์ตไม่ได้เป็นเพียงพื้นที่ที่แสดงตัวตน แต่เป็นกระจกสะท้อนปัญหาสังคม ความขัดแย้ง ความเหลื่อมล้ำทางสังคม แนวคิดที่แตกต่างกัน ไปจนถึงประเด็นสังคมที่เราไม่เคยพูดถึง” และไม่ว่าทุกคนจะมีความคิดเห็นยังไงกับประเด็นที่เกิดขึ้นอยู่ในตอนนี้ สิ่งเหล่านี้คงเป็นเหมือนเครื่องหมายคำถามที่ย้อนกลับมาถามตัวเราเองว่า สุดท้ายแล้วอะไรคือความเหมาะสม คุณค่า และความหมายของศิลปะกันแน่?
Source: สถานเอกอัครราชทูตฝรั่งเศสประจำประเทศไทย , Springs News , Made In Bed