นับจากปรากฏการณ์ความนิยมของรองเท้า adidas YEEZY และ adidas NMD ที่เป็นฉนวนจุดประกาย ภายใต้ความร้อนแรงของกระแสสตรีทแฟชั่นทั้งในไทยและต่างประเทศ (ซึ่งอาจเริ่มนับกันได้แบบจริงจัง ตั้งแต่ช่วงปี 2016 ที่ผ่านมา) และปฏิเสธไม่ได้ว่าปรากฏการณ์ดังกล่าวนั้น ได้ก่อให้เกิด “พ่อค้า – แม่ค้ารองเท้า” หน้าใหม่ขึ้นมากมาย ทั้งเจ้าใหญ่และรายย่อย
ถ้าจะให้มองว่า ปรากฏการณ์พ่อค้ารองเท้าทั้งหลายเป็นอีกหนึ่งตัวแปรของความ “เห่อกระแส” ก็ย่อมได้ แต่จะมองว่าเป็นโอกาสอันแสนสำคัญครั้งใหม่ของเหล่าพ่อค้ารองเท้าก็ไม่ผิดนัก
แต่ว่าจะมีเหล่าพ่อค้าแม่ขายสักกี่ท่าน ที่ตัดสินใจเริ่มต้นจริงจังกับธุรกิจชนิดนี้ตั้งแต่อายุยังน้อย และสามารถประสบความสำเร็จได้มากกว่าที่คาดหวังไว้ในตอนแรก นั่นรวมไปถึงการที่พวกเขาสามารถตั้งร้านค้าขนาดกะทัดรัด พอจะเป็นพื้นที่พอเหมาะ ให้สร้างรากฐานของตัวเองขึ้นมาได้อย่างมั่นคง ณ สยามสแควร์ จัตุรัสแห่งแฟชั่นใจกลางกรุงเทพมหานครแห่งนี้ …
และในวันนี้ทาง Soul4street จะพาทุกท่านไปรู้จักกับ “คุณเอิร์ธ” และ “คุณเก้า” สองวัยรุ่นเจ็นวาย ที่ตัดสินใจหักดิบจากงานประจำในบริษัทมาไล่ตามความฝันการขายรองเท้าของตัวเอง
เริ่มสนใจรองเท้าสนีกเกอร์มาตั้งแต่เมื่อไหร่ครับ ?
เอิร์ธ : สนใจกันมาตั้งแต่ ม. ปลายแล้วนะ คือเราสองคนเรียนมัธยมที่เดียวกัน ซึ่งก็ชอบและพูดคุยเรื่องนี้มาตั้งแต่ตอนนั้น
เก้า : หลังจากนั้นพวกเราก็แยกย้ายกันไปใช้ชีวิตมหาวิทยาลัย จนจบมาทำงานก็ยังคงติดต่อกันอยู่
แล้วอะไรคือจุดเริ่มต้นที่ทำให้ตัดสินใจที่จะมาประกอบอาชีพพ่อค้ารีเซลเลอร์ ?
เอิร์ธ : เริ่มจาก adidas NMD รุ่นซอมบี้* (adidas NMD_PK “Oreo”)
เก้า : ซึ่งพวกเราไปแคมป์กัน แต่สุดท้ายทาง adidas ยกเลิกการขาย แน่นอน…พวกเราหัวร้อนมาก (หัวเราะ)
เอิร์ธ : ตอนนั้นเราสองคนพูดกันว่า ถ้ามันหายากหาเย็นนักในไทย พวกเราจะนำเข้ามาเอง นั่นเป็นความเดือด ที่ทำให้ทุกอย่างเริ่มต้น ซึ่งก็เป็นจุดเริ่มต้นจากความหัวร้อนในวัยรุ่นอยู่เหมือนกันนะ
เริ่มต้นอย่างไรด้วยเงินเพียง 1 แสนบาท ซึ่งถือว่าไม่เยอะเลยนะกับธุรกิจนี้ ?
เอิร์ธ : ตั้งรับพรีออร์เดอร์ใน Facebook เป็นหลัก ซึ่งสิ่งที่เราเริ่มทำเลยคือ Range ของกลุ่มลุกค้า แน่นอนว่าจุดอ่อนซึ่งเป็นจุดแข็งในเรื่องของการ Pre – order ก็คือเรื่องของเครดิทและความน่าเชื่อถือ ตอนเริ่มแรก ๆ บางคู่เราแทบจะไม่ได้กำไรเลยด้วยซ้ำ
เก้า : ซึ่งสิ่งที่เราได้กลับมา คือความไว้วางใจจากลูกค้า และคอนเน็คชั่นสำหรับกลุ่มลูกค้าใหม่ และหลังจากที่ความไว้วางใจมาแล้ว ทุกอย่างมันเป็น Word – of – mouth (ปากต่อปาก) นะ ยอดสั่งซื้อของพวกเรามาขึ้นเรื่อย ๆ
ปัญหาที่ใหญ่ที่สุดที่เคยเจอมา จากการประกอบธุรกิจนี้คือ ?
เก้า : โดนเชิดเงินจากการซื้อขายต่างประเทศ เรื่องนี้แย่มาก (หัวเราะ) แล้วก็โดนของปลอม แต่เราไม่ปล่อยของปลอมให้ถึงมือลูกค้านะ มั่นใจได้
เอิร์ธ : เรื่องเก็งราคาผิดพลาด เช่นรองเท้าบางรุ่นออกมา เราเข้าใจว่ามันจะประมาณนี้ แต่เราลืมนึกถึงความเสี่ยงต่าง ๆ ที่มันจะตามมา ซึ่งเราก็ต้องรับผิดชอบด้วยราคาที่เราบอกเขาไปในตอนแรก
เก้า : แล้วก็เรื่องของการทำความเข้าใจในเรื่องธุรกิจของเราจากตัวลูกค้า คือลูกค้ามักจะเข้าใจว่า สิ่งที่เรานำมาวางขายในร้านเนี่ย เราได้รับราคาทุน (ราคาป้าย) มา ซึ่งก็มักจะก่อให้เกิดการต่อราคาที่ไม่น่ารักเท่าไหร่ หรือไม่ก็เมื่อได้รับของแล้ว รู้สึกว่ามันไม่คุ้มค่าคุ้มราคากับคุณภาพที่เขาเสียไป ซึ่งมันก็เป็นหน้าที่ของเราเหมือนกัน ที่จะอธิบายให้เขาเข้าใจความหมายของ “ราคารีเซล”
เอิร์ธ : อธิบายง่าย ๆ เลยคือ เราก็รับราคารีเซลมาขายอีกทีหนึ่งเหมือนกัน ซึ่งถ้าจะให้สาวไปถึงตัวต้นทางเลยก็คือ ราคาของรองเท้าคู่ที่ได้รับความนิยมแรง ๆ บางรุ่น มันถูกตั้งออกมาก่อนที่รองเท้ารุ่นนั้น ๆ จะวางจำหน่ายนะ …
มาทำธุรกิจเป็นของตัวเองแล้วแฮปปี้กว่าตอนทำงานประจำไหม ?
เก้า : คือถ้ามองในแง่ของการเงิน เราไม่ได้ดีขึ้นกว่าตอนทำงานประจำสักเท่าไหร่เลยนะ แต่พอเราผันตัวมาทำธุรกิจนี้ มันเป็นเรื่องของตัวตน ตัวตนพวกเราชัดขึ้น เพราะเราได้อยู่กับสิ่งที่ชอบ ซึ่งการทำงานกับบริษัทในทัศนะของเรามันคือการทำงานเพื่อแลกเงินล้วน ๆ
เอิร์ธ : แต่พอมาจับตรงนี้ ทุกสิ่งทุกอย่างที่เราทำแม้กระทั่งเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ มันได้ผลตอบแทนตามมา และเรารู้สึกว่า เฮ้ย … มันคุ้มค่าที่จะเหนื่อยหน่อย
ถ้าให้พูดถึงคู่แข่งทางธุรกิจ ?
เอิร์ธ : คือเราก็ยอมรับว่า เราไม่ได้เป็นเจ้าที่ขายถูกที่สุดนะ ขอย้ำเลยว่าเราไม่ได้ถูกที่สุด เจ้าที่ขายถูกกว่าเราแบบครึ่งต่อครึ่งมันก็มี แต่ทุกวันนี้เจ้าที่ทำแบบนั้นอยู่ไม่ได้หรอก เพราะในเชิงธุรกิจแล้วพวกเขาไม่สามารถทำแบบนั้นตลอดไปได้
เก้า : อีกอย่างหนึ่งเลยก็คือ ในเรื่องของการแข่งขันกันตั้งแต่ขั้นตอนการหาของ เรามีทั้ง Dealer และ Shipper ในแต่ละทวีปทั่วโลก ซึ่ง Connection ทั้งหมด เราสร้างขึ้นมาจากบนโลกออนไลน์ นี่คือข้อได้เปรียบของเรา
สร้างขึ้นมาจากโลกออนไลน์ หมายความว่าบางคนไม่เคยเจอกันเลย แต่ทำธุรกิจซื้อขายกัน ?
ถูกต้อง
นี่ถือว่าเป็นอะไรที่ใจกล้ามาก เพราะหลายคนที่ไม่กล้าซื้อของบนอินเทอร์เน็ตเป็นเรื่องของการโกง ?
เก้า : คือในความเป็นจริงมันก็มีขั้นตอนของ Money Transaction ในยุคใหม่ ที่สามารถรัดกุมและลดความเสี่ยงได้ในแบบของมันนะสมัยนี้ เช่นการโอนเงินผ่านบางเจ้า เขาก็สามารถประกันการโกงให้เราได้ในระดับหนึ่ง แต่เชื่อเถอะสุดท้ายแล้วเรื่องของเครดิต , ความจริงใจ และความน่าเชื่อถือ มันยังเป็นสิ่งที่มีอยู่จริงของมนุษย์ และสิ่งเหล่านี้บางครั้งก็ทำให้เรื่องการซื้อขายข้ามทวีปมันง่ายขึ้น
โมเดลที่ทำเงินให้ทางร้านมากที่สุด ?
เอิร์ธ : แน่นอนว่า YEEZY เป็นอะไรที่ขายดีและทำเงินให้เรามากที่สุดในช่วงนี้
อยากให้พูดถึงอนาคตของสตรีทแฟชั่นในปี 2018 นี้ จากทรรศนะของพ่อค้าอยากพวกคุณ ?
เก้า : คือสตรีทแฟชั่นในประเทศไทยค่อนข้างที่จะถูกพ่วงให้เข้ากันกับสปอร์ตแวร์ ซึ่งสิ่งเหล่านี้จะยังคงมีความนิยมหรือไม่ อันนี้เราตอบไม่ได้ แต่มั่นใจว่าในอนาคต มันก็จะคัดกรองคนที่สนใจและชอบในสิ่งเหล่านี้จริง ๆ จนเหลือเพียงแค่จำนวนนึง นี่เป็นวัฏจักรของมัน
อยากฝากอะไรถึงเหล่าคนรุ่นใหม่ ที่สนใจจะทำธุรกิจแบบพวกคุณไหม ?
เก้า : อยากให้เริ่มจากความชอบมากกว่าเม็ดเงิน เพราะที่ผ่านมา ส่วนหนึ่งที่ทำให้วงการนี้ไม่น่าอยู่ มันเป็นเรื่องของผลประโยชน์และความเอารัดเอาเปรียบลบูกค้าจากเหล่าพ่อค้านี่แหละ
เอิร์ธ : คือเราเชื่อว่านอกจาก “Business Mind” แล้วนั้น ส่วนหนึ่งที่สำคัญก็คือเรื่องของการให้อะไรกับสังคมด้วยเช่นกัน เพราะวงการนี้เป็นวงการที่อยู่ได้ด้วยความสนใจ (Interest) เป็นหลัก และกลุ่มลูกค้าของเราคือกลุ่มคนที่หลงใหลในเรื่องราวพวกนี้เป็นงานอดิเรก
จากบทสัมภาษณ์นี้ ท่านผู้อ่านที่ยังอยู่ในช่วงวัยมหาลัยหรือเริ่มทำงานจ๊อบแรก ก็น่าจะได้รับกำลังใจในการที่จะลงมือทำอะไรสักอย่างตามความฝันของตนเองอยู่ไม่น้อย …
และเท่าที่ทำความรู้จักของสองหุ้นส่วนเพื่อนซี้สองคนนี้กันไป ก็น่าจะทำให้เหล่าเด็กรุ่นใหม่ที่สนใจในการทธุรกิจได้เรียนรู้อะไรขึ้นมาบ้างว่า การจะทำอะไรอย่างจริงจัง ผลลัพธ์ที่ได้รับกลับมามันคุ้มค่าเหนื่อยอยู่เหมือนกัน