เมื่อยุคสมัยเปลี่ยน เทรนด์ในการทำแบรนด์ก็ย่อมเปลี่ยนตาม ตอนนี้แบรนด์ระดับโลกต่างก็หันมายอมรับในฝีมือของศิลปินที่มีความสามารถในด้านการออกแบบแฟชั่นกันมากขึ้นอย่าง Virgil Abloh ที่เคยทำให้ LV วันนี้ S4S เลยขอพามา Recap กับ 4 ศิลปินตัวพ่อสายแฟ ว่าแต่ละคนนั่งตำแหน่งอะไรในแบรนด์ดังระดับโลกกัน!
Pharrell Williams / Louis Vuitton Menswear (Creative Director)

เริ่มกันที่คนแรกอย่าง Pharrell Williams ศิลปิน แรปเปอร์ นักออกแบบ เขาเริ่มจากการเป็นเจ้าของแบรนด์ Billionaire Boys Club (BBC) และ ICECREAM ที่ก่อตั้งร่วมกับ NIGO สะสมประสบการณ์มาเรื่อย ๆ กับการทำแบรนด์นี้ จนมาถึงช่วงที่ Virgil Abloh หัวหอกคนสำคัญของแบรนด์ ซึ่งรับหน้าที่ Creative Director ของ Louis Vuitton Menswear เสียชีวิตลงไปเมื่อช่วงปี 2021 ทำให้ทางแบรนด์ต้องหาผู้นำคนใหม่เลยมองไปที่ ‘Pharrell Williams’
ทำไมถึงเลือก ‘Pharrell Williams’ เขามีดียังไง?

Pharrell Williams ไม่ได้มีดีแค่เรื่องการทำเพลง แต่ทางด้านแฟชั่นเขาก็ทำได้ดีเช่นกัน เพราะเก็บประสบการณ์จากแบรนด์ของตัวเองอย่าง Billionaire Boys Club (BBC) และ ICECREAM นอกจากนั้นยังมีการคอลแลบกับ Louis Vuitton (2004, 2008) และแบรนด์ดังระดับโลก เช่น CHANEL, Uniqlo, Tiffany&Co., Moncler, และ adidas Originals เป็นต้น ทำให้เขาถูกเลือกเป็น Creative Director ของ Louis Vuitton Menswear คนต่อไป เมื่อช้วง แซงหน้าแคนดิเดตที่ถูกคาดการณ์ไว้ทั้งหมด (Grace Wales Bonner, Martine Rose, Telfar Clemes)
เปิดตัวในฐานะ Creative Director คนใหม่ของ LV Men’s ด้วยการเนรมิตรสะพานเก่าแก่ในปารีส ให้เป็นรันเวย์

หลังจากที่ Louis Vuitton ประกาศแต่งตั้ง Pharrell Williams ขึ้นนั่งตำแหน่ง Creative Director คนใหม่ของฝั่ง Menswear เมื่อมิถุนายน 2023 เขาได้เปิดตัวคอลเลกชันแรกหลังจากรับตำแหน่ง ที่ Paris Fashion Week ด้วยการเนรมิตรสะพาน Pont Nerf ซึ่งถือว่าเป็นสะพานที่เก่าแก่ของปารีส ให้กลายมาเป็นรันเวย์ในคอลเลกชัน Spring/Summer 2024 ในชื่อ ‘Lovers’ หรือ ‘LVERS’ หมายถึง คนที่รักใน LV รักในการคัดสรร รักในสินค้า แต่ลึกไปกว่านั้น คือความรักในวัฒนธรรมที่สะท้อนรสนิยมที่เหมือนกัน โดยการนำลวดลายตาราง Damier มาผสมกับโมโนแกรมที่เป็นจุดเด่นของแบรนด์ ในรูปแบบ Pixel ในผลงานของเขา
และล่าสุดในปี 2025 ตัวของ Pharrell ได้หยิบนำผลงานที่เคารพต่อแฟชั่น Indian ผสมผสานความเนี๊ยบแบบ Dandyism ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของแบรนด์ มาใช้ในคอลเลกชัน Spring/Summer 2026 สะท้อนวิถีชีวิตเมือง ธรรมชาติ และสภาพแวดล้อมที่หยั่งลึกของอินเดีย จัดเต็มด้วยลูกเล่นที่สามารถนำมาใช้ได้จริงในชีวิตประจำวัน ไม่เน้นสีสันเหมือนของแบรนด์อื่น ๆ แต่แฝงดีไซน์เสบ ๆ ไว้ ในครั้งนี้นอกจากคอลเลกชันที่น่าสนใจแล้ว เขาได้ทำเหมือนกับรันเวย์เมื่อปี 2023 ด้วยการเปลี่ยนพื้นรันเวย์ทั้งหมดให้เป็น ‘เกมบันไดงู’ ขนาดยักษ์ เกมสุดคลาสสิกที่ชาวเราต้องเคยเล่นกัน ด้วยการร่วมมือกันระหว่าง Pharrell และ Studio Mumbai ทีมสถาปนิกจากอินเดีย เพื่อให้ชาว LV ทุกคนได้รับประสบการณ์การชมแฟชั่นโชว์สุดแปลกใหม่

A$AP Rocky / Ray-Ban (Creative Director)

หลังจากที่ A$AP Rocky เจอคดีมาอย่างยาวนาน พอพ้นผิดจากคดี ภายใน 3 วันเท่านั้น Ray-Ban ก็ต้อนรับเขาด้วยประกาศแต่งตั้งเขาให้ขึ้นรับตำแหน่ง Creative Director คนแรกของแบรนด์โดยทันที นอกจากจะรับหน้าที่ในการดูแลเรื่องกำหนดภาพลักษณ์และดีไซน์แล้ว ยังครอบคลุมไปถึงการกำกับแคมเปญโฆษณา และออกแบบภายในร้าน Ray-Ban ที่ผสมผสานแฟชั่น ดนตรี และศิลปะเข้าไป ซึ่งจุดนี้ถือว่าเป็นงานใหญ่สำหรับเขาเลยทีเดียว เพราะ Ray-Ban มีสาขากว่า 280+ สาขาทั่วโลก โดยอยู่ภายใต้ EssilorLuxottica ผู้กุมอำนาจแบรนด์แว่นตาระดับโลก เจ้าของ Oakley, Ray-Ban และอื่น ๆ อีกมากมาย
ประสบการณ์ ความเหมาะสม การมองการณ์ไกลของ A$AP Rocky

หากพูดถึงศักยภาพทางด้านการออกแบบของ A$AP Rocky นั้น เขาไม่ทำให้ผิดหวังแน่นอน เพราะเขาเคยมีประสบการณ์ในการเป็น Creative Director ของ PUMA ในไลน์ Motorsport มาแล้ว อีกทั้ง Leonardo Maria Del Vecchio บุตรชายของผู้ก่อตั้ง EssilorLuxottica และประธาน Ray-Ban เป็นคนกล่าวถึง A$AP Rocky อีกว่า ‘เขาเป็นศิลปินที่มีประสบการณ์ เป็นนักสร้างสรรค์ที่มองการณ์ไกล และมี DNA ที่เหมาะสมกับ Ray-Ban ที่สุด’ ทำให้ Ray-Ban ไม่รอช้าที่จะดึงตัวเขาเข้ามาร่วมงานด้วยในฐานะ Creative Director ของแบรนด์คนใหม่
ทิศทางใหม่ ดีไซน์ใหม่ ฉีกทุกกฎเกณฑ์ของ Ray-Ban


ทิศทางใหม่ของ Ray-Ban ในการนำของ A$AP Rocky นั้นเริ่มมีให้เห็นกันบ้างแล้ว จากแว่นสองแบบอย่าง Ultra Wrap 001 Next Generation และ Wayferer Puffer ที่ทั้งสองแบบมีรูปทรงที่แตกต่างจาก Ray-Ban ธรรมดาทั่วไปอย่างมาก จากแว่นตาที่ดูหรูหรา และมี DNA ของ Ray-Ban กลายเป็นแว่นตา Futureism สุดแปลกตาจากทั้งสีและรูปทรง ฉีกกฎเกณฑ์เดิม ๆ ของ Ray-Ban ไปจนหมด ทิศทางของ Ray-Ban ภายใต้การดูแลของ A$AP Rocky คงสร้างสีสันให้กับแบรนด์ได้สนุกขึ้นและเรียกลูกค้าหน้าใหม่ ๆ ให้มาสนใจได้อย่างแน่นอน
Travis Scott / Oakley (Chief Visionary)

ในเมื่อ Ray-Ban มี A$AP Rocky แล้วทำไม Oakley ถึงจะมี Travis Scott บ้างไม่ได้ เพราะหากพูดถึงศิลปินอีกคนที่โดดเด่นด้านแฟชั่น ชื่อของ Travis Scott ต้องมีคนนึกถึงเป็นคนแรก ๆ แน่นอน ด้วยประสบการณ์การออกแบบในสายแฟของเขา ไม่แพ้ใคร ทั้งเป็นเจ้าของแบรนด์ Cactas Jack ทั้งร่วมคอลแลบกับ Nike มาหลายครั้ง จนประสบความสำเร็จอย่างล้นหลาม และอีกหลายแบรนด์มาอย่างยาวนานตั้งแต่ 2014 จนถึงปัจจุบัน (Been Trill (2014), BAPE (2016), Diamond Supply Co. (2014), Maharishi (2016), Helmut Lang (2017), Saint Laurent (2018), Fornite (2020), McDonald (2020), Sony Station (2020), Neighborhood (2021), Fragment Design (2021), Dior (2021) และ Sp5der (2024) เป็นต้น) แค่นี้ก็คงแสดงให้เห็นถึงศักยภาพของเขาในการออกแบบแล้ว ว่าเขาคือของจริงในวงการแฟชั่นแค่ไหน ด้วยเอกลักษณ์ในการดีไซน์ ที่ดูปุ๊บรู้เลยว่านี่คือ Travis Scott แน่นอน ทำให้ Oakley เลือกเขาเข้ามารับหน้าที่ Chief Visionary (ผู้บริหารด้านวิสัยทัศน์) ที่จะมากำหนดทิศทางใหม่ ๆ ให้กับแบรนด์
Chief Visionary คนแรกในประวัติศาสตร์ของ Oakley

การที่ Oakley แต่งตั้ง Travis Scott ขึ้นนั่งตำแหน่ง Chief Visionary ถือเป็นครั้งแรกของประวัติศาสตร์ของแบรนด์เลย และเป็นการเดิมพันครั้งยิ่งใหญ่ เพราะก่อนหน้านั้นไม่เคยมีมาก่อน เป็นการเพิ่มขึ้นมาใหม่เพื่อร่วมงานกับ Travis Scott โดยเฉพาะ เพื่อกำหนดทิศทางใหม่ ๆ ให้กับ Oakley โดยเขามีหน้าที่กำหนดและดีไซน์ไลน์สินค้าต่าง ๆ ทั้งแว่นตา เสื้อผ้า กระเป๋า และอื่น ๆ ในรูปแบบใหม่ไปพร้อมกับทีม Cactus Jack และ EssilorLuxottica
เอกลักษณ์และกลิ่นอายที่คุ้นเคยจาก Travis Scott
ในตอนนี้เราเริ่มได้เห็นการร่วมงานกันของทั้งสองแล้ว จากสินค้าที่ปล่อยออกมา 3 ไอเทมอย่าง T-Shirt, Hoodie และ Poster ที่เป็นเอกลักษณ์ของ Travis Scott มาก อีกทั้งยังหยิบไอเทมของ Oakley มาแมทช์ลุคขึ้นเวทีก่อนหน้านี้อีก ทำให้ตอนนี้รายได้ของ Oakley กำลังเพิ่มขึ้น รวมถึงคนอื่น ๆ ที่เป็นแฟนเพลงเริ่มหันมาหาแว่นของแบรนด์สวมใส่กันบ้างแล้ว บอกเลยว่าทิศทางใหม่ของ Oakley จะทำให้คุณได้กลิ่นอายใหม่ที่คุ้นเคยจาก Travis Scott แน่นอน รอติดตามกันต่อไป!

Kendrick Lamar / CHANEL (Brand Ambassador)

ปิดท้ายกันด้วยศิลปินที่มาแรงที่สุดแห่งปี 2025 อย่าง Kendrick Lamar เจ้าของเพลงฮิต ‘Not Like Us’ ที่กวาด 5 รางวัลจาก Grammy Award ครั้งที่ 67 พ่วงด้วย 5 รางวัลจาก BET Award 2025 กันมาแล้วหลังจากนั้นกราฟชีวิตก็พุ่งกระฉูดแบบฉุดไม่อยู่ นอกจากผลงานเพลงโดดเด่นแล้ว แฟชั่นทุกลุคของแกก็เป็นที่ฮือฮา ยิ่งช่วงที่ขึ้นโชว์ SuperBowl LIX Half-Time ที่ผ่านมาด้วยแล้ว ทำให้แฟนคลับหามาใส่ตามกันแทบไม่ทัน เรียกได้ว่าปีทองของพี่แกจัด ๆ

จนทำให้ CHANEL อดใจไม่ไหว ต้องดึงตัว Kendrick Lamar มาเป็น Brand Ambassador คนล่าสุดเลยทีเดียว พร้อมขึ้นแคมเปญแว่นตาล่าสุดทันที

แล้วนอกจากการที่ Kendrick Lamar จะมีลุคแฟชั่นที่ดีจนเป็นเทรนด์ไปทั่วโลกแล้วนั้น หัวทางด้านออกแบบของเขาก็ไม่แพ้อีก 3 คนด้านบนเลย เพราะก็เคยร่วมคอลแลบกับแบรนด์ดังมาเพียบ ทั้ง Willy Chavarria, Martine Rose, Reebok และ Nike เอาแค่สองแบรนด์หลังเนี่ยก็ออกคอลแลบรวม ๆ กันเป็นสิบครั้งแล้ว (Reebok Ventilator (2015), Reebok Classic Leather / Classic Leather ‘Perfect Split Pack’ / Classic Leather Lux (2016), Reebok Club C (2017), Nike Cortez Kenny 1 (2018), Nike Cortez Kenny 2 (2018), Nike Cortez Kenny 3 (2018), Nike Cortez Kenny IV ‘House Shoes’ (2018) และ Nike React Element 55 (2019) เอาแค่สองแบรนด์ก็ถึงกับตาลายกันเลยทีเดียว มันเป็นอีกหนึ่งเครื่องการันตีถึงความสามารถของ K.Dot เป็นอย่างดี เพราะหากเขาไม่แน่จริง คงไม่ได้ร่วมงานกับสองแบรนด์ดังถี่ขนาดที่ว่าออกทุก 3 เดือนได้ขนาดนี้
แล้วการที่ CHANEL ดึง Kendrick Lamar จะส่งผลดียังไง?
แน่นอนว่าตอนนี้ชื่อของ Kendrick Lamar แทบการันตียอดขายอยู่แล้ว เพราะตอนนี้เขาหยิบจับอะไรก็ Sold Out ไปหมด แค่มีประกาศแต่งตั้งเป็น Brand Ambassador ยังฮือฮากันทั่วโลก เป็นผลดีต่อทั้งยอดขาย และภาพลักษณ์ของ CHANEL แน่นอน เพราะ K.Dot นี่แหละคือคนที่เหมาะสมกับ CHANEL ที่สุดในเวลานี้ แล้วก็คงไม่บ่อยนักที่เราจะได้เห็น CHANEL แบรนด์แฟชั่นที่เน้นเสื้อผ้าผู้หญิงเป็นหลัก ดึงตัวผู้ชายฝั่งดนตรีมาเป็น Brand Ambassador มากนัก (ที่ผ่านมามี Pharrell Williams, G-Dragon, Nile Rodgers)
และหากพูดความสัมพันธ์ระหว่าง Kendrick Lamar และ CHANEL นั้นที่ค่อย ๆ เริ่มมาตั้งแต่แฟชั่นโชว์คอลเลกชันโอดูกูตูร์ Spring/Summer 2024 เรื่อยมาจนมาจนมาสู่การได้ร่วมงานกันอย่างเป็นทางการในปี 2025 นี้ ถือว่าแบรนด์คิดถูก และเป็นการเดินเกมที่ฉลาดอีกครั้งของ CHANEL ไม่อยากจะคิดว่าถ้า CHANEL พ่วงตำแหน่ง Creative Director ให้เขามาออกแบบเสื้อผ้าสักคอลเลกชันหนึ่งจะเดือดขนาดไหน!!!
Source: Sneakerfreaker, HYPEBEAST, Fashion Network, Complex