ถ้าจะให้ยกตัวอย่างโมเดลสนีกเกอร์ที่คลาสสิคที่สุดสำหรับชาวสนีกเกอร์เฮด แน่นอนว่าชื่อของโมเดลตระกูล Nike Dunk จะต้องเป็นชื่อที่ปรากฏอยู่ในประวัติศาสตร์ของคนรักรองเท้าอย่างแน่นอน
ด้วยคุณสมบัติที่ถูกออกแบบมาเพื่อกีฬาบาสเก็ตบอล เผยโฉมครั้งแรกในปี 1985 ซึ่งถือเป็นยุคที่บาสเก็ตบอลได้มีปรากฏการณ์ของรุกกี้หน้าใหม่ฝีมือร้ายกาจอย่าง Michael Jordan นั่นจึงทำให้โมเดลตัวนี้ กลายเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดของนักบาสเก็ตบอลทั้งใน NBA และนอก NBA ของยุคนั้น
Michael Jordan และ Patrick Ewing สุดยอด Draft Class ของปี 1985 ผู้เป็นแรงบันดาลใจในกีฬายัดห่วงของคนยุคนั้น
อีกทั้ง ณ ขณะนั้นถือได้ว่า กีฬาบาสเก็ตบอล เป็นกีฬาที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก เนื่องจากวัฒนธรรมบันเทิงทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็นเพลงฮิปฮอป , แฟชั่น หรือแม้กระทั่งเรื่องราวของตัวลีกเอง ที่มีความเป็น Rivalry (คู่อริ) กันอยู่สูงกว่าสมัยนี้นัก ทำให้ลีกบาสเก็ตบอลในยุคนั้นถือว่าโหดเถื่อนดิบกว่าสมัยนี้อยู่หลายขุมนัก (ซึ่งเป็นสิ่งที่เรียกเรตติ้งทางโทรทัศน์ได้เป็นอย่างดี)
Nike Dunk "Be True to Your School" เหล่าคู่สีสุดคลาสสิคจากสีของ 12 สุดยอดทีมคอลเลจในสมัยนั้น
จึงไม่แปลกอะไรเลยที่ในยุคนั้น ถ้าใครไม่มี Nike Dunk ในครอบครองถือว่า “เชย” แตกยับเยินเลยทีเดียว !
แรกเริ่มเดิมที โมเดล Nike Dunk ออกแบบโดยอีกหนึ่งสุดยอดดีไซน์เนอร์ของ Nike อย่าง Peter Moore ซึ่งได้รับแรงบันดาลใจมาจากตัวแม่แบบอย่าง Nike Air Force 1 ซึ่งผลจากการออกแบบในครั้งนั้น ก็ทำให้ตัวโมเดลของ Nike Dunk กลายเป็นหนึ่งในโมเดลขึ้นหิ้งของชาวสตรีทแฟชั่น มาจนถึงทุกวันนี้
สำหรับท่านที่เคยเป็นสาวกตระกูล Dunk ในอดีตมา ก็ต้องบอกเลยว่าอาจจะไม่ชินกับน้ำหนักที่เบาลงมากจากรุ่นเก่า (ที่ยังเป็นอัปเปอร์หนังธรรมดา) เพราะตัววัสดุก็ขึ้นชื่ออยู่แล้วว่าเป็น Flyknit แพทเทิร์นของตัวด้ายที่สลับสีขาวดำ ตัดกันมาได้อย่างลงตัว บวกกับคุณสมบัติของตัววัสดุที่ทำให้ตัวรองเท้าสวมใส่ได้สบายขึ้นมาก เหมาะกับการแต่งตัวสไตล์มินิมอล ที่เป็นกระแสหลักของผู้ที่นิยมชมชอบการแต่งตัวแบบ Casual ในทศวรรษนี้
พื้นรองเท้า ยังคงฟอร์มของตัว Nike Dunk ดั้งเดิมไว้ได้เป็นอย่างที่ แต่อุตส่าห์เดินทางมาถึงยุคนี้ ถ้าไม่อัพเกรดอะไรสักหน่อย ก็คงจะไม่ใช่สิ่งที่ Nike ชอบใจนัก ตัวพื้นในรุ่นนี้จึงถูกตีซี่ แบ่งให้เป็นรอยหยักที่มากขึ้นกว่าเดิม เพื่อเพิ่มความเหนียวแน่นในการเกาะพื้น (Traction)ให้ดียิ่งขึ้น ในขณะที่ดีไซน์แพทเทิร์นของพื้น Outsole ก็ถูกปรับให้ดูโมเดิร์นขึ้นด้วยเช่นกัน และตัว Midsole ของรองเท้า ยังคงใช้วัสดุยางรับเบอร์แบบเดิม อย่างที่ตัวโมเดลเคยทำกันมา
งานดีเทลของรองเท้ารุ่นนี้ ที่จะไม่พูดถึงไม่ได้เลยก็คงเป็นตัวของแถบ Swoosh เอกลักษณ์ ที่ตัวแบรนด์เลือกหนังคุณภาพดี มาเย็บประกบไว้เป็นแถบ Swoosh ใหญ่ อันเป็นเอกลักษณ์ของรองเท้ารุ่นนี้ ตัวลิ้นรองเท้าก็ไม่หนามากนัก (แต่งต่างจากสมัยก่อน เพราะพยายามปรับให้เข้ากับเนื้อผ้า Flyknit) และพื้น Insole ข้างในที่สลักลายโลโก้ Nike ไว้เท่านั้น ก็ทำให้รายละเอียดของรองเท้าคู่นี้ดูแน่นขึ้นเยอะ
ในเรื่องของไซส์ แนะนำให้เพิ่มไซส์เผื่อให้อีกสัก 0.5 เพราะว่ารูปทรงของรองเท้าคู่นี้ค่อนข้างที่จะเรียวแหลม ทำให้เวลาใส่จริง ค่อนข้างที่จะบีบข้างเท้าอยู่พอสมควร
มีมาให้เลือกกันทั้งหมดสองสี ได้แก่สี Oreo คู่สีขาว – ดำสุดคลาสสิคตลอดกาล และสี Multicolor Chlorine Blue อีกหนึ่งโทนสีมาดเข้ม เหมาะสำหรับการแต่งตัวสไตล์เรียบง่าย พร้อมวางจำหน่ายแล้วตั้งแต่วันนี้ !
อย่างนั้นแล้ว จะรอช้าอยู่ทำไม … และถ้าหากเหล่าผู้หลงใหลในสนีกเกอร์ยุคใหม่ มองว่ารองเท้ารุ่นนี้เป็นโมเดล “เคยฮิต” ที่ตกรุ่นไปแล้วเราก็ขอบอกเต็มปากเลยว่าขอให้มองเสียใหม่ เพราะ ณ จุดนี้ รองเท้ารุ่นนี้ พร้อมสานต่อตำนานเดินทางเข้าสู่ยุคใหม่อย่างสมบูรณ์แบบ …
สามารถติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่
Facebook : SEEK Thailand
Instagram : @seekofficialth