จากจุดเริ่มต้นของธุรกิจรองเท้าขนาดครอบครัวที่มีชื่อว่า J.W. Foster & Sons ในปี 1985 ดูเหมือนว่าในวันนี้ Reebok ก็มาได้ไกลเสียจริง ๆ สำหรับการประสบความสำเร็จในเชิงธุรกิจ และการสร้างเอกลักษณ์ของแบรนด์ได้อย่างเด่นชัด จนเป็นอีกหนึ่งแบรนด์ที่จะมองข้ามไปไม่ได้เลย ในโลกของรองเท้าผ้าใบ
และถ้าจะให้หยิบยกตัวอย่าง โมเดลที่สามารถสะท้อนภาพความเป็น Reebok ได้อย่างชัดเจนที่สุด Reebok Classic Leather ไม่ว่าจะด้วยเรื่องของวัสดุ , งานเย็บ , ประวัติความเป็นมา และงานออกแบบดีไซน์ รองเท้ารุ่นนี้ ล้วนแล้วแต่เป็นองค์ประกอบที่ควรค่าแก่การขึ้นชื่อว่าเป็น “ตำนาน” อย่างแท้จริง
วางจำหน่ายครั้งแรกในปี 1983 หลังจากที่ประสบความสำเร็จกับโมเดล Freestyle ด้วยงานวัสดุหนังที่สร้างชื่อให้กับพวกเขาเป็นอย่างมากในตอนนั้น ซึ่งแต่เริ่มเดิมที รองเท้าคู่นี้ได้ถูกสร้างขึ้นเพื่อเป็นรองเท้าวิ่ง โดยมุ่งคอนเซ็ปท์ไปที่ “style-conscious men and women,”
ทว่าหลังจากที่วางจำหน่ายครั้งแรกเพียงไม่นานในปีเดียวกัน ทาง Reebok ก็วางจำหน่ายรองเท้ารุ่นนี้อีกครั้ง ได้ใส่ธง Union Jack ไว้ข้าง ๆ โลโก้ของแบรนด์ และหลังจากนั้น Reebok ก็ถูกซื้อจากทางกลุ่มเงินทุนฝั่งสหรัฐอเมริกาในปีถัดมา (ปี 1984) ซึ่งเป็นปีเดียวกับที่ทาง Reebok ได้ออกวางจำหน่าย Workout Lo และ Workout Mid อีกโมเดลยอดฮิตของทางแบรนด์
และถ้าพูดกันอย่างตรงไปตรงมา Reebok Classic Leather ก็เป็นรองเท้าวิ่งที่ครบเครื่องที่สุดคู่หนึ่งเลยก็ว่าได้ ด้วยเทคโนโลยี Bi-Density Shock Protection System เทคโนโลยีรองรับแรงกระแทกที่ดีที่สุดตัวหนึ่งของ Reebok ในสมัยนั้น อีกทั้งยังเป็นผู้นำเทรนด์ในเรื่องของ “รูระบายอากาศ” ตรงส่วน Toe-cap ของรองเท้าอีกด้วย
ในเรื่องของงานเย็บ พวกท่านอาจจะเคยได้ยินเรื่องราวของ H-Shape ที่โด่งดัง ผ่านฝีไม้ลายมือของดีไซน์เนอร์อย่าง Edward Lussier ซึ่งการเย็บด้วยแพทเทิร์นที่ว่านั้น ก็ถูกหยิบยกนำมาใช้ในโมเดลตัวนี้ด้วย ซึ่งท่านจะเห็นได้จากรอยตะเข็บที่ขึ้นโครงเอาไว้อย่างสวยงาม ซึ่งถ้าเมื่อคลี่ออกมา รองเท้าคู่นี้จะได้รูปทรงคล้ายตัวอักษร H
ในส่วนของ Midsole รองเท้าคู่นี้ก็ได้ใช้ยางความทนทานสูง แบบเดียวกับที่รองเท้ารุ่นเก่ายุคโอลด์สคูลส่วนใหญ่เลือกใช้ ในขณะที่ตรงส่วนของพื้นรองเท้า ก็มีแพทเทิร์นสุดคลาสสิค ที่โดดเด่นเป็นเอกลักษณ์สำหรับความเป็น Reebok Classic Leather ด้วยการแบ่งซี่พื้นรองเท้าด้วยหลักการความสมมาตรของรูปทรงเรขาคณิต
บริเวณลิ้นรองเท้า ได้สลักโลโก้ “Delta Symbol” เอาไว้อย่างโดดเด่นงดงาม ซึ่งเจ้าโลโก้ตัวนี้นั้น เกิดขึ้นจากการนำโลโก้ “Side Strip” เก่านำมาเล่าใหม่ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการรีแบรนด์ในยุคปี 2010s ที่ทาง Reebok ได้พยายามเพิ่มระดับตัวเอง ไปสู่แบรนด์กีฬาที่ทันสมัยยิ่งขึ้น
ในส่วนของคู่สี Reebok Classic Leather แทบจะไม่เคยออกคู่สีที่ฉูดฉาดเลย มักจะเน้นคู่สีของโมเดลให้อยู่ในสโคปของโทนสีโมโนโทน (ดำ-ขาว- เทา) เสียส่วนใหญ่ ซึ่งก็น่าจะถูกใจเหล่าคนรักสีขาวดำอยู่ไม่น้อย
ดังนั้น เมื่อเราพูดถึงไลน์สินค้าไลฟ์สไตล์ของทางค่ายรองเท้าดังจากเกาะอังกฤษอย่าง Reebok Classic รองเท้ารุ่น Reebok Classic Leather คือหนึ่งในรองเท้าที่โดดเด่นที่สุดของแฟรนไชส์ดังกล่าว และทางเราหวังเป็นอย่างยิ่งว่า เจ้ารองเท้าคู่นี้จะเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดตัวหนึ่งของผู้รักรองเท้าทุกคน
ติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมจาก SEEK THAILAND ได้ที่ …
Facebook : SEEK Thailand
Instagram : SEEK Thailand
PHOTO BY : Chang Songaksorn