แปลจาก Skylar Bergl / Highsnobiety
พ่อของเคยบอกผมเอาไว้ว่า "เอ็งไม่สามารถที่จะมีอะไรบางอย่างมากเกินไปหรอกนะ" ถึงแม้ว่าผมเห็นด้วยกับคำสอนนี้ เพราะคำสอนนี้มันสามารถสั่งสอนถึงเรื่องของการควบคุมกิเลสของตนเองไว้ได้อย่างแยบยล แต่ถึงอย่างไรก็ตาม ผมก็ไม่สามารถทีจะปฏิบัติตามคำสอนนี้ได้อย่างเคร่งครัด … เพราะผมมีรองเท้าอยู่ในชั้นมากเกินไป
ผมใช้เวลาว่างที่มีกว่าค่อนชีวิต ด้วยลมหายใจที่ถี่รัว เวลาที่ผมต้องกรอกรายละเอียดในบัตรเครดิต เพื่อสั่งซื้อรองเท้าสุดไฮป์ ซึ่งผมเผอิญโชคดีกดจองได้อย่างทันเวลา และผมเสียเวลามากมายไปกับการตระเวนงานลดราคาของร้านรองเท้า เพื่อหารองเท้าดีราคาต่ำกว่าป้าย ซึ่งแน่นอน … เมื่อบวกกับการทำงาน ที่คลุกคลีอย่างใกล้ชิดกับรองเท้าสนีกเกอร์ ผมไม่เคยจะพลาดโอกาสเหล่านี้ไปเลยแม้แต่น้อย
ในบางครั้ง การเดินเส้นทางสายสนีกเกอร์เฮด ก็ไม่ได้มีอะไรมากไปกว่าการสวมใส่รองเท้าคู่โปรดของคุณ จนสภาพมันเหลือเพียงแค่ซากหนังที่ติดกาวกับพื้นยาง เพียงแต่ว่าในยุคที่รองเท้ารุ่นใหม่ ๆออกวางจำหน่ายในแบบสัปดาห์เว้นสัปดาห์ ก็ดูเหมือนว่าการซื้อรองเท้ากลายเป็นสารเสพย์ติดที่น่ากลัว พอ ๆ กับความบ้าคลั่งของโลกทุนนิยมในยุคนี้ เชื่อว่าหลายท่านที่ติดตามเพจรองเท้าอย่างเรา ก็น่าจะเคยผ่านจุดที่ต้องเจียดเงินเดือนครึ่งหนึ่ง เพื่อซื้อรองเท้าใหม่สักสองคู่ต่อเดือน หรือแม้กระทั่งการยอมรูดบัตรเครดิตอย่างบ้าคลั่ง แล้วต้องมานั่งจิตตกในภายหลังเมื่อรอบบิลมาถึง
และแน่นอน เหมือนกับที่ผุ้สูงอายุทั้งหลายเคยกล่าวไว้ว่า มีขึ้นก็ต้องมีลง วิถีชีวิตแบบสนีกเกอร์เฮดก็เช่นกัน จากกรณีที่ก่อนหน้านี้ เคยมีข่าวของเหล่า Youtubers และสนีกเกอร์เฮดตัวเป้งหลายคน ตัดสินใจโละขายคอลเล็คชั่นสนีกเกอร์ของเขาจนหมด ซึ่งเหตุผลที่ขายของแต่ละคนนั้น อาจแตกต่างกันไปบ้าง ไม่ว่าจะเป็นการขายเพื่อไปจ่ายหนี้ค่าบ้านก้อนใหญ่ หรือไม่ก็การขายเพราะความรู้สึกอิ่มเอมจากความเป็น "วัตถุนิยม" อย่างสุดขีด ซึ่งผลลัพธ์ของการตัดสินใจเหล่านี้ มีจุดร่วมกันที่น่าสนใจอยู่คือ "ความอิ่มตัว" ซึ่งใน
และจากการอ่านหนังสือของหนังเขียนสาวชาวญี่ปุ่นอย่าง Marie Kondo ที่มีชื่อว่า "the life changing magic of tidying-up" (แปลเป็นไทยได้ว่า "มหัศจรรย์ ทำความสะอาดบ้านเปลี่ยนชีวิต") ผู้เขียนได้แบ่งประเภทของของใช้ไว้ห้าประเภทใหญ่ ๆ ที่เมื่อจัดไว้อย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย ก็จะทำให้ชีวิตของคุณดีขึ้น ซึ่ง "เสื้อผ้าและเครื่องแต่งกาย" ก็เป็นหนึ่งในนั้น แน่นอนว่า รวมไปถึงรองเท้าด้วยเช่นกัน …
แต่สิ่งที่ผู้เขียนพยายามจะพูดเป็นอย่างยิ่งในบทความนี้ ไม่ใช่สอนการจัดวางชั้นรองเท้าให้เป็นระเบียบเรียบร้อยขึ้นแต่อย่างใด เพราะว่าหัวใจหลักของ Marie Kondo ในข้อนี้ การกำจัดของที่ท่านรู้สึกว่ามีมากเกินไป ก็เป็นหนึ่งในรีมาร์คที่สำคัญด้วยเช่นกัน สำหรับผู้ที่มีรองเท้ามากมายจนเกินไป อยากให้ท่านลองคิดดูสักนิดหนึ่งว่า ท่านได้สวมใส่มันทั้งหมดกี่ครั้งในชีวิตของท่าน แน่นอนว่าในตอนแรกมันไม่ง่ายจนเกินไปนัก ที่จะตัดสินใจขายมันออกไป แต่ปัญหาที่แท้จริงที่เรากำลังจะพูดถึงนี้ก็คือ ส่วนใหญ่ผู้ที่มีรองเท้าสนีกเกอร์มากมายนั้น เขาอาจจะสวมใส่รองเท้าคู่นั้นจริง ๆ ไม่ถึงสิบครั้งด้วยซ้ำ !!
ซึ่งนี่คือปัญหาหลัก ปัญหาของความฟุ่มเฟือยจนเกินไป และในวันที่เราต่างเติบโตขึ้น ภาระทางการเงินที่จะต้องรับผิดชอบก็เพิ่มขึ้นตามมา รองเท้าสนีกเกอร์เป็นปัจจัยหลักที่เราจำเป็นต้องเจียดเงินจำนวนมากมายขนาดนั้น เพื่อสนองความต้องการของเราจริง ๆ หรือ … และสิ่งที่เราแนะนำจะมาแนะนำในวันนี้ไม่ใช่การบอกว่า "อย่ามีรองเท้าเยอะเกินไป มันไม่ดีหรอก …" แต่กลับเป็นการทำให้คอลเล้คชั่นสนีกเกอร์ของท่าน "พอดี" กับตัวเองต่างหาก
แรกเริ่มเดิมทีท่านอาจจะรู้สึกอึดอัดและไม่เป็นตัวเองเหมือนแต่ก่อน ถ้าท่านคือสนีกเกอร์เฮดจำพวกที่มีรองเท้าหลักร้อยคู่ในบ้าน แต่จะว่าไป การจัดการวิถีชีวิตของตัวเองให้มีระบบระเบียบมากขึ้นก็ไม่ใช่ตัวเลือกที่แย่นัก สำหรับผู้ที่เริ่มรู้สึก "อิ่มตัว" กับวงการนี้ ในเมื่อรองเท้าที่ท่านใส่อยู่จริง ๆ อาจจะมีอยู่ไม่กี่คู่ และสิ่งที่ท่านเสียเงินจำนวนมากเพื่อซื้อไปในตอนนั้น มันไม่ได้ให้ผลตอบแทนที่คุ้มค่ามากมายแต่อย่างใด
ท่านอาจจะเริ่มจากการจัดอันดับรองเท้าคู่โปรดของท่านเป็นสิบอันดับแรก จากนั้นค่อยนำมาวิเคราะห์อีกครั้งหนึ่งว่า คู่ไหนเป็นคู่ที่ต้องเก็บจริง ๆ คู่ไหนไม่ได้สำคัญขนาดนั้น … ซึ่งการอันดับเหล่านี้ท่านอาจจะจัดอันดับมันจากการสวมใส่ว่าบ่อยครั้งแค่ไหน , คู่ไหนที่แฟนซื้อให้แล้วเราอยากเก็บไว้เป็นความทรงจำ หรือ รองเท้าคุ่ไหนหายากที่สุด ซึ่งมันก็อยุ่ที่มุมมองของท่านโดยส่วนตัว
ซึ่งจากประสบการณ์ของผู้เขียนเองนั้น ผู้เขียนรู้ว่าพวกเหล่าสนีกเกอร์ตัวไฮป์ทั้งหลายนั้น จะเป็นรองเท้าที่อยู่กะเราได้สั้น … เพราะมูลค่าทางจิตใจของมันจะลดลง เมื่อราคามันตกลงเสมอ ลองคิดดูว่าถ้าวันหนึ่ง รองเท้าคู่ที่เรารักมากและเราซื้อมาในราคา 20,000 บาทนั้นราคาตกลงเพียงหลักพัน รองเท้าคุ่นั้นจะส่งผลต่อจิตใจของเราขนาดไหน … ที่หยิบยกประเด็นนี้ขึ้นมาพูดถึงนั้น ไม่ได้ต้องการต่อต้านผู้นิยมสินค้าในกระแสแต่อย่างใด แต่อยากให้ทุกท่าน "คิด" อย่างถี่ถ้วนก่อนที่จะซื้อ เพราะเมื่อขึ้นชื่อว่า "อยู่ในกระแส" มูลค่าของมันก็จะแปรผันตรงกับห้วงเวลา ณ ตรงนั้นอย่างหลีกเลี่ยงมิได้ และในท้ายที่สุดเมื่อราคามันตกลง เราก็จะรู้สึกเสียดายเงินจำนวนมหาศาลเพื่อการซื้อมันมาใส่ในตอนนั้นอย่างเจ็บปวด
แต่ถ้าท่านรู้สึกว่าเงินที่เสียไปนั้นมันคุ้มค่า เพราะเราหลงใหลในดีไซน์ของมัน ชอบในเรื่องราวของมันที่มีคนต้องพักกระจกเพื่อแย่งกันซื้อ นั่นก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งซึ่งขึ้นอยุ่กับรสนิยมส่วนบุคคลของแต่ละท่าน ว่าเลือกที่จะเก็บมันไว้ในตู้อยุ่ต่อไปหรือเปล่า … เพราะท้ายที่สุดแล้ว เราก็สะสมมันด้วยความชอบที่บริสุทธิ์ .
Source : Highsnobiety