ถ้าจะให้พูดถึงประวัติศาสตร์ศิลปะโลก R.Mutt หรือ Marcel Duchamp (มาร์แซล ดูช็อง) ก็ถือเป็นอีกหนึ่งศิลปินที่ถูกพูดถึงไปไม่น้อยกว่าชื่อของ Pablo Picasso หรือ Henri Matisse เลยแม้แต่น้อย ด้วย เพราะเขาคือผู้ที่ปักหมุดหมายที่สำคัญของประวัติศาสตร์วงการศิลปะโลก ผ่านผลงาน Fountain ของเขาในปี 1917 นั่นเอง …
ผลงานของดูว์ช็องทำให้ประเด็นเรื่องสุนทรียะกลายเป็นปัญหา เพราะไม่สามารถที่จะกล่าวได้อย่างง่าย ๆ อีกต่อไปว่า "งานศิลปะชิ้นนี้สวย" เพราะคงไม่มีใครที่จะกล่าวว่า "โถส้วม" ในงานแสดงศิลปะว่าเป็นงานศิลปะ ถึงแม้ว่า "โถส้วม" นั้นจะมีความสวยงามมากก็ตาม แต่งานแสดงศิลปะย่อมไม่ใช่งานแสดงผลิตภัณฑ์สุขภัณฑ์ ทั้งนี้สุขภัณฑ์ที่เข้าไปอยู่ในงานแสดงศิลปะเมื่อต้นศตวรรษที่ยี่สิบก็คงไม่ได้ทำให้ใครเข้าใจได้ว่า "โถส้วม" ที่ว่านี้จะเป็นศิลปะได้อย่างไร
"Fountain .- 1917" โดย R.Mutt (นามแฝงของดูช็อง)
การตัดสินให้อะไรเป็นศิลปะในลักษณะแบบนี้ก็เปรียบเสมือนการตั้งชื่อวิสามานยนามให้กับศิลปะวัตถุ สำหรับวิสามานยนามในที่นี้ก็คือ "ศิลปะ" ในแง่นี้ผลงานศิลปะของดูว์ช็องเกิดขึ้นจากการตัดสินใจด้วยตัวเองล้วน ๆ ในการที่จะจัดให้อะไรเป็นศิลปะ อะไรไม่เป็นศิลปะ การตัดสินด้วยการจัดระเบียบใหม่ด้วยวิสามานยนามอย่างศิลปะก็หมายความถึง ความเป็นสมัยใหม่อย่างเต็มที่ เพราะเขาไม่ได้ตกอยู่ภายใต้ข้อกำหนดความเป็นศิลปะจากภายนอก นี่เป็นการแสดงให้เห็นถึงความเป็นเอกเทศของศิลปะ "ความเป็นเอกเทศของศิลปิน"
เพราะความเป็นเอกเทศแสดงให้เห็นถึงลักษณะของความเป็นสภาวะสมัยใหม่ !!
เนื่องจากมีความเชื่อในการสร้างงานศิลปะว่า "ทุกสิ่งทุกอย่างที่ศิลปินสร้างสรรค์ออกมานั้นคือศิลปะ" ผลงานของศิลปินในช่วงแรกได้รับการต่อต้านและเกิดความโต้แย้งกันมากเกี่ยวกับความเป็นศิลปะ เพราะผลงานออกมามีลักษณะแปลกใหม่ เช่น การเขียนภาพโดยวิธีผิดปกติ หรือการนำวัตถุที่พบเห็นทั่วไปหรือวัตถุสำเร็จรูปมาเป็นงานศิลปะ ซึ่งไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน เพราะศิลปินไม่เห็นด้วยกับการสร้างงานศิลปะโดยใช้วัสดุหรือวิธีการในแบบเดิม
L.H.O.O.Q อีกหนึ่งผลงานสายแซะจาก R.Mutt
แนวคิดเช่นนี้ทำให้นักวิจารณ์ศิลปะมีความเห็นว่า เป็นการต่อต้านศิลปะ (anti-art) แม้ศิลปะในลักษณะนี้จะได้รับการวิพากษ์วิจารณ์กันอย่างหนักถึงความไม่เหมาะสมทั้งจากนักวิจารณ์ศิลปะ กลุ่มคนที่สร้างสรรค์ศิลปะฝ่ายสูง และผู้ชมงานศิลป์ แต่โลกสำหรับที่กำลังขับเคลื่อนไปข้างหน้า ศิลปะเป็นหนึ่งในทรัพยากรทางวัฒนธรรรมของมนุษยชาติที่เกิดขึ้นและผันแปรไปอย่างไม่เคยหยุดนิ่ง โดยสะท้อนภาพความเป็นจริงที่สังคมทุกสังคมย่อมมีความขัดแย้ง
ไม่ว่าจะเป็นการขัดแย้งระหว่างกลุ่มชนชั้นหรือเศรษฐกิจ งานศิลปะในทุกห้วงเวลาที่ผ่านมาจึงมีทั้งการผลิตซ้ำ ถอดรื้อ และให้คนตีความหมาย ศิลปะในบริบทของสังคมทุกสมัยสามารถเกิดขึ้นได้ทุกด้าน ไม่ว่าจะเป็นในรูปแบบของการแต่งตัว ภาพวาด ดนตรี สื่อภาพยนตร์ ฯลฯ แทบทุกอย่าง ให้มนุษย์ในยุคปัจจุบันมีที่ทางของตัวเองที่จะระบายสิ่งที่แฝงเร้นในตัวมนุษย์ออกมาในรูปของสุนทรียะนานาพันธุ์ ซึ่งอาจมีความหมายที่พิลึกพิลั่นจนบางครั้งเกินเลยไปสู่เขตแดนแห่งความอัปลักษณ์น่าชัง
แต่สุดท้ายแล้ว ก็คือความจริงที่บอกให้รู้ว่า สิ่งที่อยู่คู่กับความงามของมนุษย์ก็คือความอัปลักษณ์ของเรา และหากจะเชื่อว่า ความงามคือความจริง และความจริงคือความงามชนิดหนึ่ง ซอกมุมอัปลักษณ์ของมนุษยชาติอย่างเรา ๆ ก็มีความงามที่น่าสะอิดสะเอียนแฝงอยู่ดาษดื่น …
และนี่ก็เป็นอีกหนึ่งสิ่งที่แสดงให้เห็นว่า ศิลปะทุกแขนงนั้นหยิบยืน หมุนเวียน และเปลี่ยนผ่านกันอยู่ตลอดเวลา !
อ้างอิงจาก : https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%A1%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%8C%E0%B9%81%E0%B8%8B%E0%B8%A5_%E0%B8%94%E0%B8%B9%E0%B8%A7%E0%B9%8C%E0%B8%8A%E0%B9%87%E0%B8%AD%E0%B8%87
- Anne d'Harnoncourt and Kynaston McShine. Marcel Duchamp (New York : Museum of Modern Art), 1973.
- Thomas Koster and Lars Roper. 50 Artists You should know (Munich ; London : Prestel), 2006.
- http://grmtqye.vcharkarn.com/vblog/113647.