หลายท่านอาจจะเห็นกันได้อย่างชัดเจนในช่วงนี้ว่า กระแสของ Nike Air Max 1 ในประเทศไทยนั้น กำลังกลับมาอึกระทึกครึกโครมวงการรองเท้าสนีกเกอร์กันอีกครั้งอย่างชัดเจน ด้วยแคมเปญ Nike Air Max Day ภายในเดือนนี้ ซึ่งสัปดาห์ที่แล้วก็ผ่านพ้นไปได้ด้วยดี กับรุ่น Air Max 1 OG Royal และ Air Max 1 OG Red ที่ได้รับความสนใจอย่างล้นหลาม จนเกิดการคิวกันตั้งแต่คืนก่อนหน้าวันวางจำหน่ายจริงเลยทีเดียว
ซึ่งในวันนี้ทาง Soul4street ก็ได้จัดทำบทความ "10 รองเท้า Nike Air Max 1 ที่ขึ้นชื่อได้ว่าหายากที่สุดในขณะนี้ " ขึ้น เพื่อตอบสนองความไฮป์ในกระแสหลักของรองเท้ารุ่นนี้ จะมีรุ่นไหนติดอันดับกันบ้าง เชิญอ่านได้จากบทความข้างล่างนี้เลยครับ
Atmos x Nike Air Max 1 Viotech
อีกหนึ่งสียอดฮิตของงาน Collaboration ระหว่าง Nike และ Atmos รีเทลเลอร์เจ้าใหญ่ชื่อดังจากแดนอาทิตย์อุทัย ซึ่งวางจำหน่ายเป็นครั้งแรกตั้งแต่เมื่อปี 2003 แต่กาลเวลากว่าสิบปีของรองเท้าคู่นี้ ก็ไม่ได้ทำให้ราคารีเซลของมันลดมูลค่าลงแต่อย่างใด และมันก็ถูกยกขึ้นหิ้งให้เป็นหนึ่งในรองเท้าสนีกเกอร์ที่หายากที่สุดคู่หนึ่งของรุ่นนี้ไว้อย่างสง่างาม และเคยถูกจัดให้อยู่ในลำดับที่ 12 ของบทความ “100 Best Sneakers of the Complex Decade” ในปี 2012 อีกด้วย
Air Max 1 OG Royal (2017)
ตำนานอันยิ่งใหญ่ของแอร์แม็กซ์เริ่มต้นในปี 1987 ไนกี้ ได้เปิดตัวรองเท้าผ้าใบไนกี้ แอร์แม็กซ์ วัน เป็นครั้งแรก โดยรองเท้ารุ่นดังกล่าวเป็นผลงานการออกแบบของ ทิงเกอร์ แฮทฟิลด์ (Tinker Hatfield) ปรมาจารย์ผู้ได้ปฏิวัติวงการรองเท้าผ้าใบไปตลอดกาล โดยเขาได้รับแรงบันดาลใจในการออกแบบมาจากงานสถาปัตยกรรมอาคารศูนย์ศิลปะและวัฒนธรรม ปอมปีดูว์ (Pompidou Center) ในประเทศฝรั่งเศส ที่มีการเผยให้เห็นโครงสร้างภายใน ทำให้ทุกคนสามารถมองเห็น ถุงอากาศหรือนวัตกรรมแอร์ (Air) ข้างใน ซึ่งถือว่าเป็นเทคโนโลยีที่โดดเด่นล้ำสมัยในยุคนั้น
ซึ่งสองสีแรกที่ออกวางจำหน่ายในปีนั้นคือสี University Red และ Royal Blue ตัวนี้ นี่คือรองเท้าที่เป็นประวัติศาสตร์หน้าสำคัญของแบรนด์ จึงไม่แปลกอะไรที่รองเท้าคู่นี้จะติดอยู่ในอันดับของเราด้วยเช่นกัน เพราะราคารีเซลตอนนี้ก็พุ่งทะยานไปไกลแล้วซะด้วย !
Air Max 1 Clot "Kiss of death"
เป็นหนึ่งในตัวแทนของความ HYPE แห่งรองเท้าสนีกเกอร์ยุคปี 2000s ได้เป็นอย่างดี เพราะเมื่อย้อนไปในเวลานั้น "Toebox" หน้าเท้าที่ใช้วัสดุโปร่งใสอันเป็นเอกลักษณ์ของรองเท้าสนีกเกอร์คู่นี้นั้น คึอนวัตกรรมที่ก้าวกระโดด จนใคร ๆ ก็ต้องตื่นเต้นไปกับมันนั่นเอง
วางจำหน่ายครั้งแรกในปี 2006 ความน่าสนใจของรองเท้าคู่นี้นั้น คือการที่ทีมวิจัยพัฒนารองเท้าของ Nike และ Clot ได้พยายามอยากหนักหน่วงกว่า 1 ปี เพื่อที่จะสามารถออกแบบดีไซน์รองเท้าคุ่นี้ให้ลงตัวและสามารถใช้งานได้ดีที่สุด อีกทั้งความพรีเมียมของวัสดุที่มากไปกว่าพลาสติกใสบริเวณ Toebox นั้น ส้นเท้าก็คาดด้วยวัสดุที่ทำจากหนังงู สลักเป็นแพทเทิร์นสีส้มสวยงาม และยังคาดตรงส่วน Misdole ด้วยหนังนกกระจอกเทศ ได้ทำให้รองเท้าคู่นี้เป็นหนึ่งในสุดยอดสนีกเกอร์ตลอดกาลไปเลยก็ว่าได้
Air Max 1 OG Red (2017)
สองสีแรกที่ออกวางจำหน่ายในปี 1987 นั้นคือสี University Red และ Royal Blue แต่สีที่ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นสีที่คลาสสิคที่สุดกลับเป็นคู่สีแดงคุ่นี้ และเราอาจจะเห็นได้ว่าตั้งแต่นักร้องซุปเปอร์สตาร์ไปจนถึงปุถุชนคนธรรมดาก็ล้วนแล้วแต่หลงใหลรองเท้าคุ่นี้ด้วยกันทั้งนั้น เนื่องจากความลงตัวที่ตัดกันของสีขาวและสีแดง และคั่นสายตาด้วยสีเทาอ่อน ก็ทำให้รองเท้าสนีกเกอร์คู่นี้ถูกยกขึ้นหิ้งขึ้นไปอีกคู่
Atmos x Nike Air Max Safari
ถ้าถามว่ารุ่นไหนเป็นรุ่นที่ได้รับความนิยมมาจนถึงทุกวันนี้ Atmos x Nike Air Max Safari ก็น่าจะเป็นอีกหนึ่งรุ่น ที่แม้จะมีอายุอานามของรองเท้ามากว่า 10 ปี ก็ดูเหมือนว่ารองเท้าสนีกเกอร์คู่นี้ไม่ได้รับความนิยมลดน้อยลงแต่อย่างใด
หลังจากการวางจำหน่ายครั้งแรกในปี 2002 ก็ดูเหมือนว่าสิ่งที่รองเท้าสนีกเกอร์คู่นี้สร้างไว้ คือการเล่นลาย Safari ที่ปฏิวัติวงการสนีกเกอร์ไปโดยปริยาย เพราะการนำลวดลายสัตว์ป่าเหล่านี้มาเล่นนั้นถือเป็นความกล้าในการดีไซน์อีกรูปแบบหนึ่ง ซึ่งทาง Nike และรีเทลเลอร์ฝั่งญี่ปุ่นอย่าง Atmos กล้าเดิมพันในงาน Collaboration สุดเหวี่ยงตัวดังกล่าวนี้นั่นเอง
Patta x Parra x Nike Air Max 1 "Cherry Wood"
น้องเชอร์รี่ในตำนาน คือชื่อในวงการของรองเท้าคุ่นี้ (ไม่ใช่นางเอกเอวีสัญชาติไทยคนไหนแต่อย่างใด) ซึ่งงาน Collaboration สามประสานของรองเท้าคู่นี้ ก็สร้างปรากฏการณ์ความหวานลิ้น ติดทนนานให้กับเหล่าสนีกเกอร์เฮด (โดยเฉพาะผู้หญิง) ไว้ได้อย่างมิเสื่อมคลาย เพราะการจับคู่สีที่โดดเด่นระหว่างสีแดงลูกเชอร์รี่สด กับลิ้นรองเท้าที่นำมาใส่ตัดไว้ให้เป็นจุดสนใจสีเขียวอมฟ้า และพื้นรองเท้าสามแม่สีดูสบายตาสดใส ก็ทำให้รองเท้าคุ่นี้ถูกจัดไว้ในอันดับอย่างปฏิเสธไม่ได้
Patta x Nike "Chlorophyll"
เป็นอีกหนึ่งงาน Collaboration ระหว่าง Patta และ Nike ที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมากอีกรุ่นหนึ่ง ซึ่งโดดเด่นด้วยสีเขียวโทนใบไม้ ทำให้ชื่อเล่นของเจ้ารองเท้าสนีกเกอร์ตัวนี้ถูกตั้งชื่อว่า "Chlorophyll" (คอลโรฟิลด์ สารสีเขียวที่อยู่ในใบไม้) แต่รองเท้าคู่นี้มีดีมากกว่าเจ้าสีเขียวตัวนี้ เพราะเหล่าวัสดุที่ใช้นั้น เป็นระดับพรีเมียมตั้งแต่ส่วนอัปเปอร์ไปจนถึงพื้นรองเท้าเลยทีเดียว
Supreme x Nike Air Max 1 "Animal Pack"
ต่อยอดมาจากเทรนด์ของ Atmos x Nike Air Max Safari ก็ต้องเป็นรองเท้าคู่นี้อย่างแน่นอน ด้วยดีไซน์ที่ล้ำยุคที่นำเอาลวดลายของเสือนานาชนิด มาผสมผสานรวบรวมให้กลายเป็นเจ้า Atmos x Nike Air Max 1 "Animal Pack" ตัวนี้ และที่พิเศษยิ่งไปกว่านั้นก็คือ การใช้ขนเทียมมาเป็นวัสดุตรงส่วนบริเวณอัปเปอร์ ที่ให้ความรุ้สึกหรูหราลักซ์ชัวรี่ และยังถือเป็นรุ่นแรก ๆ ของงาน Collaboration ระหว่าง Atmos x Nike ที่ได้รับความนิยมขึ้นมาอีกด้วย
Kid Robot x Nike Air Max 1
วางจำหน่ายครั้งแรกในปี 2005 เจ้า Kid Robot x Nike Air Max 1 คุ่นี้มีความโดดเด่นอยู่ตรงที่ พื้น Insole ลวดลายการ์ตูนสุดงดงาม ซึ่งแถมมาให้เปลี่ยนกันได้กว่าห้าสีห้าสไตล์อย่างจุใจ ซึ่งลายเส้นสุดน่ารักจาก Kid Robot ซึ่งออกแบบโดย Paul Budnitz และ Chad Phillips ก็ดึงดูดสายคอมมิคให้ครอบครองรองเท้าคู่นี้ซะเหลือเกิน
นอกจากนั้นแล้วภายในแพคเกจยังแถมฟิกเกอร์ตัวการ์ตูนขนาดเล็กกะทัดรัดมาให้ด้วย เลือกได้ว่าเป็นหนึ่งในแพ็ครองเท้าที่คุ้มจุใจแฟน ๆ อีกทั้งการใช้สีม่วงสการ์เล็ตตัดกับสีน้ำตาลแกมทอง ก็ยังเป็นอีกหนึ่งการแมทช์คุ่ที่น่าสนใจมากเป็นอย่างยิ่งอีกด้วย !
Nike Air Max 1 "Master"
Masters of Air คือชื่อในวงการของรองเท้าซีรี่ย์ Air Max ระดับพระกาฬสายเลือดผสมของบรรดารองเท้าซีรี่ย์นี้ ด้วยเอกลักษณ์ของรองเท้าระดับแรร์มากมายกว่าสิบชนิด ที่ถูกนำมาประดับไว้อย่างลงตัวลงบนรองเท้าคู่นี้ ซึ่งสำหรับวันสุดพิเศษอย่าง Air Max Day วันเฉลิมฉลองสุดพิเศษของรองเท้าซีรี่ย์ Nike Air Max วันนี้ ทางไนกี้ก็ได้งัดเจ้า “What The” Air Max 1 ออกมาเปิดตัวอย่างสง่างาม
เจ้า“What The” Air Max 1 คือการผสมผสานที่น่าหลงใหลบนเบสสีขาว ของโมเดล Air Max 1 ซึ่งหลอมรวมเหล่าคู่สียอดฮิตอย่าง “Safari” “Patta” “Viotech” “OG Red” "OG Navy" "Animal Pack" "Chlorophyll" "Cherry Wood" และ "Kid Robot" มาไว้ด้วยกันอย่างลงตัวงดงาม คาดด้วย Midsole สีดำล้วนและพื้นรองเท้าสีน้ำตาลหมากฝรั่ง อันเป็นการผสมผสานที่แปลกประหลาดได้อย่างงดงามลงตัว ซึ่งหลายท่านคงไม่ต้องสงสัยว่า ราคามันจะไปไกลแค่ไหน !
สำหรับเจ้า Nike Air Max Master พร้อมจะวางจำหน่ายในวันที่ 11 มีนาคมนี้ เวลา 12.00 เป็นต้นไป สำหรับผู้ที่อยากครอบครองรองเท้าคู่นี้ก็รีบไปจับจองกันให้ไว เพราะช้าหมดอดแน่นอน !