TAKARA WONG (ทะคาระ- หว่อง) น่าจะเป็นชื่อที่ชาวสตรีทแฟชั่นไทยเริ่มที่จะรู้จักกันมากขึ้น กับชื่อเสียงของแบรนด์ที่ก้าวกระโดดไปมัดใจกลุ่มลูกค้าชาวไทยและต่างประเทศ ทั้งที่ตัวแบรนด์เพิ่งเริ่มได้ไม่นาน (ปี 2015) แต่ว่าสิ่งสำคัญสิ่งหนึ่งที่เราอาจจะมองข้ามไปก่อนที่จะไปเสพย์สมอารมณ์ยินดีกับความสำเร็จของแบรนด์ที่แสดงตนอย่างชัดเจนในเวทีโลกว่าเป็นแบรนด์ของ “คนไทย” แบรนด์นี้ควรจะเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับผู้อยู่เบื้องหลังเสื้อผ้ารสนิยมดี ภายใต้ธีมแสงสีนีออนอย่าง “คุณแชมป์ ฐกร วรรณวงษ์” ผู้ผันตัวจากเชฟขนมหวานมาเป็นดีไซน์เนอร์ เรื่องราวทั้งหมดนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร ทาง Soul4street จะขอเชิญทุกท่านพบกับบทสัมภาษณ์นี้ได้เลย
สวัสดีครับคุณแชมป์ ช่วยเล่าความเป็นมาของแบรนด์ Takara Wong หน่อยครับ ?
ต้องใช้คำว่าเริ่มจากความชอบแบบไม่รู้ตัว คือตอนแรกผมเป็นเชฟเบเกอรี่ เแต่ภายหลังที่ผมได้ไปเรียนต่อที่ le cordon bleu ซิดนีย์ นั่นคือสถานที่ที่ปลดแอกพันธนาการในตัวผม
ผมได้รับอิสระอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน เราได้เป็นตัวเอง เพราะตั้งแต่ที่เราใช้ชีวิตในมหาลัย (หรือในประเทศไทยก็แล้วแต่) ผมรู้สึกว่าเราได้รับแรงกดดันจากอะไรหลาย ๆ อย่าง และหลังจากกลับมาที่ไทย ในเริ่มแรกผมก็ยังเป็นเชฟเหมือนเดิม จนกระทั่งมีอยู่มาวันนึงเราได้รับโอกาสให้เป็น Stylist ในงานถ่ายโฆษณาลิปสติกงานหนึ่ง ซึ่งหลังจากนั้นผมก็รู้ตัวอย่างชัดเจนแล้วว่า ผมชอบที่จะอยู่ในอุตสาหกรรมนี้ ทั้งที่เราไม่ได้จบด้านแฟชั่นหรืออะไรที่เกี่ยวกับศิลปะเลยด้วยซ้ำ หลังจากนั้นก็ได้เริ่มงานเป็น creative director ให้กับ Whvck เป็นโปรโมเตอร์ปาร์ตี้ และเปิดร้านอาหารเป็นของตัวเอง เราลองผิดลองถูกมาเยอะมากซึ่งนั่นก็คือแนวทางในการทำงานของแบรนด์ในทุกวันนี้นั่นก็คือ “Trial and error” (การลองผิดลองถูก) จนกระทั่งความคิดเรื่องการทำเสื้อผ้าเป็นของตัวเองได้ผุดเข้ามาในหัว เราก็เริ่มมันจากตรงนั้น
ที่มาของชื่อแบรนด์ Takara Wong มาจากอะไรครับ ?
ชื่อ Takara Wong ก็มาจากชื่อจริงและนามสกุลของเรา เราชื่อจริงว่า ฐกร แต่แค่อ่านมันอีกแบบนึงตามพยางค์พยัญชนะ (ทา – คา – ระ) ส่วนที่มาของ Wong (วงษ์) ผมก็แค่หยิบตัวสุดท้ายของชื่อนามสกุลมา (วรรณวงษ์) แล้วอ่านว่า "หว่อง"
ส่วนนิยามผู้ชายของ Takara Wong กล้าที่จะเปิดเผยตัวเอง ไม่สนใจเทรนด์หรือแฟชั่นกระแสหลัก มีความเป็นตัวของตัวเองและไม่แบ่งแยกเพศหรือสีผิว นับถือเพศที่สาม และเชื่อมั่นในความเท่าเทียมกันของมนุษย์ ดังนั้นเสื้อผ้าจึงออกมาในลักษณะที่ผู้หญิงใส่ได้ผู้ชายใส่ดี (Unisex) ก่อนหน้านี้ผมอาจจะเห็น Unisex ผู้หญิงใส่แต่เสื้อผ้าผู้ชาย แต่ด้วยความที่ผมกลับชอบ Silhouettes ของความเป็นผู้ชายอยู่ ผมจึงชอบที่ผู้หญิงจะแต่งตัวเป็นผู้ชายแทน แต่สำหรับตัวคอลเล็คชั่นล่าสุดนี้จะมีการนำเอาดีเทลของเสื้อผ้าผู้หญิงมาสอดแทรกอยู่บ้าง
แรงบันดาลใจในการออกแบบเสื้อผ้าของคุณ ส่วนใหญ่มันมาจากอะไร ?
ดนตรีและเสื้อผ้ามีความเกี่ยวโยงกันมาตั้งแต่เมื่อนานมาแล้ว กล่าวคือทั้งสองอย่างนี้ให้ Inspiration ซึ่งกันและกันมาแต่ไหนแต่ไร และด้วยความที่เราเป็นคนรักอิสระ เป็นคนชอบเที่ยว (หัวเราะ) เสื้อผ้าให้ดนตรี และดนตรีให้แฟชั่น นั่นจึงทำให้เสื้อผ้าของเรามีเรื่องของดนตรีเข้ามาเกี่ยวอยู่เยอะ
ผมชอบฟังดนตรีแนว Future ,Hip-Hop Future , Jazz-Hop และก็ Soul-Hop แต่ถ้าสำหรับเสื้อผ้าของเรามันมีส่วนประกอบของดนตรีหลากหลายแนวเลย เช่นคอลเล็คชั่นแรกมันเป็น Hip-Hop แต่คอลเล็คชั่นที่สองนี้มันเป็น Dump and Bass มันก็จะมีความแตกต่างออกไปจากคอลเล็คชั่นแรกอยู่พอสมควร
อยากให้คุณแชมป์ช่วยเล่าถึงขั้นตอนการทำงานตั้งแต่เริ่มเลย
ในตอนแรกผมเป็นคนที่ใช้เซนส์ของตัวเอกเป็นหลัก แต่ดูเหมือนว่ามันจะไม่เวิร์คเท่าที่ควร (ช้าไป) เพราะผมไม่รู้และไม่เข้าใจในกระบวนการ และสุดท้ายมันก็กลายเป็นว่ามันไปชน (เหมือน) กับของต่างประเทศ แต่ภายหลังที่เราเริ่มเข้าใจในกระบวนการ ทุกอย่างก็ดีขึ้น
อีกอย่างคือผมเป็นคนที่มี Storage อยู่ในหัว ผมจะพยายามนึกว่าเราสนใจอะไร เราชอบแบบไหน แล้วทุกอย่างก็ผสมผสานกันไปโดยอัตโนมัติ เช่นคอลเล็คชั่นแรกมันเริ่มจากคำถามเพียงประโยคเดียวที่ว่า “ทำไมคนดำถึงต้องเป็นทาสของคนขาว ?” เท่านั้นแหละทุกอย่างก็จะตามมาโดยอัตโนมัติ เช่นเดียวกันกับคอลเล็คชั่นล่าสุด SS17 นี้เราก็ได้รับแรงบันดาลใจมาจาก “เด็กแว๊นซ์ญี่ปุ่น” (Bosozoku) ซึ่งเกิดจากคำถามที่ว่า “ทำไมเด็กแว๊นซ์ญี่ปุ่นถึงเท่ห์ ? ” อะไรทำนองนั้น หลังจากนั้นผมก็จะดูว่าเทรนด์ตอนนั้นเป็นอย่างไร ? พยายามมองหาวัตถุดิบ Texture และ Material ต่าง ๆ ซึ่งก็พยายามจะหาในประเทศไทยอยู่ หลังจากนั้นก็จะเข้าสู่กระบวนการผลิต ซึ่งทุกอย่างจะถูกทำขึ้นที่ประเทศไทย
ความโดดเด่นของแบรนด์ Takara Wong ?
เป็นแบรนด์ที่เปิดโอกาสของ Sub-culture ต่าง ๆ ให้ก้าวเข้ามาสู่โลกของแฟชั่น เป็นแบรนด์ที่กล้าเดินออกมาจาก Comfort Zone กล้าที่จะนำเสนออะไรใหม่ ๆ โดยที่ไม่ได้สนใจว่า จะมีคนชอบไหม ? จะมีคนกล้าใส่หรือเปล่า ? ผมคิดว่าถ้าดีไซน์เนอร์กล้า คนใส่ก็กล้า ซึ่งการตัดสินใจทำอะไรเหล่านี้เราว่ามันทำให้วงการสตรีทไทยน่าสนใจยิ่งขึ้นไปอีก
ดูเหมือนว่าคุณจะหลงใหลใน “Sub Culture” เป็นพิเศษ อยากทราบว่าคำนี้มีผลต่อแนวคิดของคุณอย่างไร ?
ผมเข้าใจคำนี้ก่อนที่จะรู้จักคำนี้ คนรอบตัวผมล้วนไม่รู้ตัวเลยว่าพวกเขาอยู่ในวัฒนธรรมรอง มันเริ่มมาตั้งแต่เด็กเลยนะคือส่วนตัวผมเป็นคนชลบุรี (บางแสน) เวลาที่เราไปมิวสิคเฟสติวัลที่พัทยาเราก็จะแต่งตัวแปลก ๆ กัน ทรงผมหัวแหลมเปี๊ยบ อะไรทำนองนั้น พูดง่าย ๆ ก็คือเรารู้สึกว่าเราเป็นส่วนหนึ่งของมันมาตั้งแต่เด็ก และมันก็เป็นส่วนหนึ่งของเราไปแล้วโดยสิ้นเชิง
จากคำตอบของคุณแชมป์ทั้งหมดที่กล่าวมา ดูเหมือนว่า Sydney กับบางแสน (ชลบุรี) ดูจะเป็นสถานที่ที่พิเศษของคุณ ?
ที่มันพิเศษนะผมว่ามันเป็นเรื่องของคนรอบตัวผมที่อยู่ที่นั่นมากกว่า เล่าย้อนไปในวัยเด็ก ผมเป็นคนบางแสน จังหวัดชลบุรี ผมเรียนอยู่ในโรงเรียนประจำแห่งหนึ่งซึ่งมีชื่อเสียงในจังหวัด ด้วยความที่คนรอบตัวผมเป็นคนแปลก ๆ ตั้งแต่เด็กจนโต เพื่อนผมบางคนเวลาที่เขาเรียนหนังสือกันเขาก็ไม่ยอมเรียนนะ (หัวเราะ) ยกตัวอย่างเช่น คนที่ไม่ยอมเรียนหนังสือแล้วสุดท้ายเขาก็ประสบความสำเร็จในการเป็นดีเจ คือทำตามสิ่งที่ตัวเองชอบมาตั้งแต่เด็ก พวกที่เสพย์หนังแปลก ๆ อ่านหนังสือเยอะ ๆ พวกที่ชอบเล่นกีฬา Extreme ไม่ว่าจะเป็นสเก็ตบอร์ดหรือจักรยาน BMX ซึ่งคนเหล่านี้แหละที่ให้พลังงานบางอย่างแก่เราได้อย่างเต็มเปี่ยม
ส่วน Sydney ผมได้เห็นคน ได้เห็นความหลากหลาย ซึ่งที่นั่นเป็นความหลากหลายทางวัฒนธรรมสูง ที่นั่นคือหม้อใหญ่ทางวัฒนธรรมที่รวบรวมคนจากหลายสถานที่จนเกิดเป็นวัฒนธรรมใหม่ ซึ่งนั่นเป็นการเบิกเนตรทางความคิดของเรา บวกกับสภาพแวดล้อมที่นั่นได้หล่อหลอมเราให้เป็นเราจนทุกวันนี้
อยากทราบว่าเสื้อผ้าตัวแรกที่ทำคือ … ?
ชิ้นแรกที่ทำใส่เองคือผมติดหมุดกับเสื้อยีนส์ เอาฝาเบียร์มาทำขาดแล้วก็ทาสีนู่นนี่นั่นไปตามประสา ส่วนอีกตัวคือกางเกงยีนส์ลีวายริมแดง เราเอามาตัดขาข้างนึง แล้วทำให้มันรุ่ย ซึ่งมันก็คือขาข้างนึงยาว อีกข้างนึงสั้นนั่นเอง (หัวเราะ)
ความรู้สึกแรกที่ขายเสื้อผ้าของตัวเองได้ ?
ตอนที่ขายได้ไม่รู้สึกดีใจเท่าตอนที่มีคนมาสนใจทั้งที่เสื้อผ้าผมยังไม่วางขาย อารมณ์ประมาณว่าเขาติดต่อมา หรือติดตามมาจากในอินเทอร์เน็ต ตอนนั้นเรารู้สึกว่าผมตื่นเต้นที่สุด
จากประสบการณ์ 29 ปีที่หล่อหลอมคุณมา คุณนำมาใช้ในงานออกแบบเสื้อผ้าอย่างไร ?
มีประโยชน์มากจนทุกวันนี้ คือออกตัวก่อนเลยว่าผมเป็นคนที่เก็บกดมาตั้งแต่เด็ก ทุกอย่างที่เราสั่งสมมาตั้งแต่การอยู่ในกฏระเบียบของโรงเรียนประจำ , มหาวิทยาลัย จนไปถึงการใช้ชีวิตในสังคมไทย ซึ่งเรื่องพวกนี้เราเก็บมาตั้งแต่รายละเอียดเล็ก ๆ เช่น จากการถูกกล้อนผมเพราะผิดระเบียบโรงเรียน ทำไมต้องไว้ผมทรงนี้ ?
หรือแม้กระทั่งการห้ามเพื่อนที่เป็นเพศที่สาม มีกฏระเบียบในโรงเรียนบังคับให้เขาไม่เป็น … คือมันห้ามกันได้ด้วยเหรอ ? เราจึงเอาสิ่งเหล่านี้มาใช้ในงานของเรา
หยุดพักด้วยคำถามเบา ๆ กันบ้าง ไลฟ์สไตล์ของคุณแชมป์เป็นอย่างไรครับ ?
เราจะมี To-do list เป็นของตัวเองในแต่ละวัน เป็นคนเสพย์ติดช็อคโกแลต จะพกช็อคโกแลตตลอดเวลา คือเราเป็นคนไม่ทานกาแฟ ค่อนข้างชอบชีวิตกลางคืน แต่ก่อนนอนเรามักจะใช้เวลากับสมุด ขีดเขียนทุกอย่างที่เราคิด ไอเดียต่าง ๆ เพื่อขจัดมันออกไปจากหัวก่อนเข้านอน
อยากทราบความคิดเห็นของคุณแชมป์ ที่มีแต่วงการแฟชั่นไทยในปัจจุบัน ?
น่ากลัวนะเรื่องนี้ (หัวเราะ) โอเค … ผมว่าวงการแฟชั่นไทยเป็นของเซเลปบริตี้ วงการแฟชั่นไทยจะไม่มีวันไปไหนได้ไกลกว่านี้ ถ้ายังไม่ขจัดคำนี้ออกจากวงการ
คือทำไมเราต้องให้เซเลปบริตี้มาสวมใส่เสื้อผ้าเพียงอย่างเดียว ความหมายของผมคือวงการแฟชั่นไทยผลักดันกันเองในหมู่พวกเซเลปบริตี้ ถ้าวงการแฟชั่นในประเทศไทยหลุดจากกรอบที่คุณจะต้องอยู่ในแวดวงนั้นถึงจะทำเสื้อผ้าได้ วงการแฟชั่นไทยจะไปได้ไกลขึ้น
ดูอย่างประเทศเพื่อนบ้านเรา เกาหลี , อินโดนีเซีย ประเทศเพื่อนบ้านเราเหล่านี้มีการผลักดันดีไซน์เนอร์เลือดใหม่กันทุกปี คือประเทศเราไม่ต้องเอาอย่างเขาก็ได้ แค่ให้กำลังใจกันก็พอ
อีกเรื่องที่น่าน้อยใจคือความประสบความสำเร็จของคนไทยมักจะเกิดขึ้นหลังจากที่ต่างประเทศยกย่อง สื่อทั้งหลายจะถาโถมเข้าหาคุณทันทีเมื่อคุณมีพื้นที่ในระดับนานาชาติ แต่สิ่งที่คนไทยควรทำคือทำไมต้องรอให้เขาไปถึงจุดนั้นก่อนละ ทั้งที่เขาไม่ได้อยู่ไหนไกลจากคุณเลย .
จากการที่เราได้พูดคุยกับคุณแชมป์ในวันนี้ ผู้เขียนเชื่อว่าเสียงสะท้อนของเขาคงดังก้องกังวาลใจ ผู้รักและหลงใหลในวงการสตรีทแฟชั่นไทยน้อยใหญ่อยู่ไม่น้อย ซึ่งก็คงมีผลต่อทัศนคติในเรื่องแบรนด์เสื้อผ้าไทยของผู้อ่านในระดับหนึ่ง และสามารถสร้างแรงบันดาลใจให้กับดีไซน์เนอร์รุ่นใหม่ได้เป็นอย่างดี
ทั้งนี้ทั้งนั้น ทาง Soul4street อยากให้ทุกท่านได้ติดตาม TAKARAWONG กับคอลเล็คชั่นใหม่ล่าสุดของเขาที่มีชื่อว่า “LOVE TO HATE ME” ที่ได้รับแรงบันดาลใจมาจากแก๊งค์มอเตอร์ไซค์ญี่ปุ่นกันด้วย
ขอบคุณสถานที่สุดชิค : Hello Strangers
Photographer : Golf Supasin Duangkrajung