ในช่วงปี 2016 ที่ผ่านมานี้ถือได้ว่าเป็นอีกปีหนึ่งที่ความร้อนแรงทางการเมืองได้โหมอุณหภูมิความเครียดของสถาณการณ์โลกให้พุ่งสูงขึ้นอย่างก้าวกระโดด
ไม่ว่าจะเป็นการประกาศลาออกจากสหภาพยุโรปของประเทศอังกฤษ (Brexit) หรือการได้รับชัยชนะในการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐของ โดนัลด์ ทรัมพ์ ก็ล้วนแล้วแต่เป็นเหตุการณ์ที่ส่งผลกระทบน้อยใหญ่ไปทั่วโลก ที่แม้แต่ผู้ที่ไม่แยแสเรื่องราวทางการเมืองใดใด ก็ต้องได้รับผลกระทบให้รำคาญใจกันอยู่บ้างไม่มากก็น้อย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของค่าเงินปอนด์ที่ตกต่ำลงที่สุดในรอบห้าสิบปี หรือการตัดสินใจย้ายถิ่นฐานไปอยู่ประเทศแคนาดาของชาวสหรัฐอเมริกาหลายแสนคน
นั่นแสดงให้เห็นว่า "การเมือง" เป็นเรื่องของทุกคน
แบรนด์สเก็ตชื่อดังเมืองนิวยอร์คอย่าง Supreme ได้ออกเสื้อยืดคอลเล็คชั่นเมื่อไม่นานมานี้ ซึ่งสกรีนข้อความบนอกเสื้อไว้อย่างแสบสันต์ว่า
“Why not get together with some friends soon and say No! Say no to racists, to sexist pigs, to authority figures, to religion; say no to television, patriotism, political ideologies, any of the thousand and one ways in which this society keeps you from realizing your own needs and desires. You’ll find the more you do it, the more you’ll like it! Just say “fuck off.” You’ll get a lot of satisfaction.”
(ทำไมไม่ลองร่วมตัวกับกลุ่มเพื่อนใน และโห่ร้องก้องตะโกนกันว่า "พวกเราไม่เอาการเหยียดเพศ , พวกเราไม่เอาศาสนา , พวกเราไม่ดูทีวี , พวกเราเกลียดค่านิยมการรักชาติ , กูเกลียดแนวคิดทางการเมือง กูเกลียดทุกอย่างในสังคมนี้ที่คอยริดรอนสิทธิและความต้องการของพวกเรา และวิธีง่าย ๆ ที่พวกเราจะได้รับความสนใจจากจุดนี้คือพูดคำว่า "ช่างแม่ง"ดัง ๆ")
เป็นที่แน่นอนว่าเสื้อยืดรุ่นนี้ได้ถูกจำหน่ายหมดลงอย่างรวดเร็ว (เช่นเดียวกับคอลเล็คชั่นอื่น ๆ ของ Supreme) และนั่นก็ไม่ได้หมายความว่าเป็นเพียงเพราะข้อความดังกล่าวมีเนื้อหาที่ "โดนใจ" ผู้บริโภคเพียงอย่างเดียว แต่การสวมใส่เสื้อผ้าเหล่านี้ต่างหากคือวิธีการแสดงจุดยืนทางการเมืองของผู้สวมใส่วิธีหนึ่งที่ได้ผลอย่างเป็นรูปธรรม โดยที่ไม่ต้องพูดอะไรให้เปลืองน้ำลาย
Supreme เป็นแบรนด์ขวัญใจวัยรุ่นอยู่ตลอดมา เพราะว่าคอลเล็คชั่นต่าง ๆ ของ Supreme นั้นสะท้อนความเกรี้ยวกราดและฉุนเฉียวของวัยรุ่นอย่างตรงไปตรงมาอยู่เสอตั้งแต่ไหนแต่ไร ซึ่งแท้จริงแล้วนั้นสิ่งที่พวกเขาทำไม่ใช่สิ่งที่เป็นปรากฏการณ์ใหม่แต่อย่างใด เพราะว่าที่ผ่านมาในประวัติศาสตร์ การสวมเสื้อผ้าที่แสดงออกถึงจุดยืนทางการเมืองของตนก็เป็นอีกวิธีหนึ่งที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมากในการเคลื่อนไหวทางการเมืองอยู่แล้ว
และมองย้อนกลับไปในช่วงปี 80s-90s ความเคลื่อนไหวของวงการสตรีทแฟชั่นเกี่ยวกับการเมืองในยุคนั้นมีความน่าสนใจเป็นอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นโลโก้รถยนตร์อเมริกันเจ้าใหญ่ยักษ์ซึ่งสกรีนอยู่บนเสื้อผ้าของแบรนด์ Fuct อันโด่งดัง (ซึ่งมีความต้องการที่จะเสียดสีแนวคิดทุนนิยมในยุคนั้นอย่างเจ็บแสบ) หรือแม้กระทั่งการถือกำเนิดของแบรนด์ PNB Nation แบรนด์เสื้อผ้าที่มีแนวคิดหลักเกี่ยวกับสิทธิมนุษยชนของคนผิวสี และความภูมิใจในความเป็นคนผิวสีอเมริกัน
และตั้งแต่ก่อนหน้าที่วงการสตรีทแฟชั่นจะกลายเป็นอุตสาหกรรมยักษ์ใหญ่เหมือนในปัจจุบัน รากฐานของการได้รับอิทธิพลจากการเมืองของสตรีทแวร์ก็ไม่เคยเลือนหายไปไหนจวบจนทุกวันนี้
"ก่อนหน้าที่สตรีทแฟชั่นจะถือกำเนิดขึ้นอย่างจริงจัง ผมมั่นใจว่าในยุคนั้น (80s-90s) เริ่มจากการที่คนหนึ่งคนสวมใส่เสื้อผ้าที่แสดงออกถึงรสนิยมแบะสิ่งที่ตัวเองชอบ เช่น เสื้อยืดโลโก้ทีมบาสเก็ตบอลทีมโปรด หรือเสื้อยืดโลโก้ยี่ห้อฟาสต์ฟู้ดมื้อโปรดของพวกเขา และเมื่อถึงจุดนึงพวกเขาก็เริ่มรู้สึกว่าเสื้อผ้าเหล่านั้นมันยังไม่สามารถบอกเล่าความเป็นตัวตนของพวกเขาได้อย่างหมดจด ดังนั้นการทำเสื้อผ้าเพื่อสวมใส่เองจึงถือกำเนิดขึ้นในกลุ่มเล็ก ๆ ซึ่งนั่นคือจุดเริ่มต้นของสตรีทแฟชั่น . " Chris Gibbs เจ้าของแบรนด์ Union Los Angeles กล่าว
ในปีที่ผ่านมา Union Los Angeles ได้ปล่อยคอลเล็คชั่นเสื้อผ้าว่าด้วยเนื้อหาเกี่ยวกับความไม่ยุติธรรมของกระบวนการศาลในสหรัฐอเมริกา ซึ่งเกิดจากการบริหารงานโดย Brendon Babenzien อดีต Creative Director ของ Supreme และหัวเรือใหญ่ของแบรนด์ Noah ร่วมกับ Chris Gibbs ซึ่งเป็นที่นิยมอย่างมากในหมู่ขบวนการเคลื่อนไหวเพื่อกลุ่มคนผิวสี “Black Lives Matter”
“เราไม่มีทางอยู่ในสังคมได้อย่างมีความสุขหรอก ถ้าเรานิ่งดูดายกับการที่คนกว่าครึ่งหนึ่งในสังคมเดียวกันกับเรานั้นไม่ได้รับความยุติธรรมเท่าเทียมกับเรา” Brendon Babenzien กล่าวผ่านเนื้อหาในอีเมลของเขา “และอีกหนึ่งปัญหาก็คือกลุ่มคนขาวในสังคมอเมริกันนั้นไม่มีทางและไม่มีวันที่จะเข้าใจในสิ่งที่พวกคนผิวสีต้องประสบพบเจอในแต่ละวัน นี่แหละคืออีกหนึ่งช่องโหว่ใหญ่ของปัญหานี้ ดังนั้นสิ่งที่ผมทำ (ในฐานะคนผิวขาว) นี้ไม่ได้ถือเป็นปรากฏการณ์ที่ยิ่งใหญ่อะไร แต่ถึงอย่างนั้นแล้วผมก็ดีใจที่ได้ทำมันนะ”
เช่นเดียวกันกับแบรนด์ label 424 จากลอสแองเจลิสก็ได้ออกแบบเสื้อผ้าในลักษณะเดียวกัน ซึ่งเป็นเสื้อยืดของกลุ่มฝูงชนที่กำลังต่อสู้กับตำรวจก่อการจราจล และในขณะเดียวกันแบรนด์สเก็ตบอร์ดเมืองลอนดอนอย่างแบรนด์ Palace ก็เป็นอีกหนึ่งแบรนด์ที่ถ่ายทอดคอลเล็คชั่นเสื้อผ้าเพื่อความยากลำบากของชาวปาเลสไตน์เหล่านี้ผ่านโลโก้ Tri-Ferg ในคอลเล็คชั่นเมื่อสามเดือนที่ผ่านมา
“แน่นอนว่าคนรุ่นใหม่ที่สนใจการเมืองก็ยังมีอยู่ ถึงแม้ว่าในบางครั้งเราอาจจะมองว่าพวกเขาเป็นเพียงเด็กอ่อนต่อโลกที่ถ่ายทอดออกมาด้วยความก้าวร้าวรุนแรง แต่ในขณะเดียวกันสิ่งเหล่านี้นี่แหละคือความเป็นไปของโลกใบนี้ เป็นวัฏจักรที่ไม่มีที่สิ้นสุด และได้โปรดเชื่อผมเถอะว่าเจ้าเด็กพวกนี้ไม่ได้มีดีแต่เซลฟี่ถ่ายรูปตัวเองไปวัน ๆ หรอกนะ” เจ้าของแบรนด์ Palace กล่าวไว้เมื่อตอนให้สัมภาษณ์กับนิตยสาร DAZED
ถึงแม้ว่าทั้งหมดที่กล่าวมานี้ จะเป็นเพียงการเคลื่อนไหวเล็ก ๆ ที่ไม่ได้เปลี่ยนแปลงโลกใบนี้ แต่ก็ดีแค่ไหนแล้วไม่ใช่หรือที่แม้จะเป็นแค่เรื่องของเสื้อผ้า แต่ว่ามนุษย์ก็ยังไม่เคยทำให้มนุษย์ด้วยกันนั้นสิ้นหวังแต่อย่างใด เพียงเท่านี้ก็ดีแค่ไหนแล้วถูกไหม ?