ชื่อของ NIGO ในวงการสตรีทแวร์ ย่อมไม่มีใครไม่รู้จักหรือไม่เคยได้ยินชื่อของเขาอย่างแน่นอน ด้วยการหมายมั่นปั้นแบรนด์เล็ก ๆ อย่าง BAPE ขึ้นไปสู่บัลลังก์มงกุฏเพชรแห่งวงการได้อย่างชาญฉลาด พร้อมด้วยฝีมืองานออกแบบเสื้อผ้าที่มีเอกลักษณ์และถือได้ว่าเป็นอัจฉริยะที่หาตัวจับได้ยากแห่งวงการคนหนึ่ง
นอกจากการกุมบังเหียนเป็นหัวเรือใหญ่ให้กับแบรนด์เสื้อผ้าในตำนานอย่าง BAPE แล้วนั้น เขามีบทบาทที่ต่างออกไปในเวลาว่างของเขา เขาเป็นทั้ง DJs (ซึ่งเคยฮิตสุด ๆ ในยุค 2000s กับวง Teriyaki Boyz) หรือแม้กระทั่งบทบาท Fashionista ผู้หยิบจับเสื้อผ้าชิ้นไหนมาใส่ ทุกอย่างก็ดูน่าสนใจไปเสียหมด แต่เมื่อเวลาผ่านไป อายุขัยของเขาก็เพิ่มขึ้นควบคู่ไปกับวุฒิภาวะทางอารมณ์ ประสบการณ์ และจุดมุ่งหมายในชีวิต
จากที่เคยโด่งดังกับวงการ Underground หรือแฟชั่นนอกกระแสต่าง ๆ นี่เป็นเวลาที่พอเหมาะกับการที่เขาจะก้าวขึ้นไปสู่อีกระดับหนึ่งในเวทีโลก นั่นคือการทำให้ผู้คนธรรมดายอมรับในเซนส์และความเป็นตัวตนของเขาผ่านเสื้อผ้าเครื่องแต่งกายของเขา และในวันนี้เราจะมานั่งพูดคุยกับเขาถึงวงการ Fast Fashion ในปัจจุบันกันว่ามีความเป็นไปอย่างไรในทุกวันนี้หลังจากที่เค้าได้รับตำแหน่ง Creative director กับทางแบรนด์ Uniqlo
เพราะอะไรทำให้คุณเข้ามารับตำแหน่ง Creative director กับทางแบรนด์ Uniqlo UT ได้ ?
"ผมไม่สามารถตอบคุณได้อย่างแน่ชัดเช่นกันว่าเพราะอะไร แต่ที่แน่ ๆ สิ่งที่ผมจะทำในชื่อของตำแหน่งนี้และแบรนด์ Uniqlo UT ไม่ใช่การจารึกชื่อและเอกลักษณ์ของผมลงไปในแบรนด์ สิ่งที่ผมทำมันท้าทายมากกว่านั้น มันต้องเป็นมากกว่าการขายเสื้อผ้า เราจะขายวัฒนธรรมของเรา ผมต้องการที่จะเพิ่มจำนวนผู้คนที่สนใจใน Uniqlo UT มากกว่าที่จะใช้ความเป็น Influencer ของตนเองในการทำงาน ซึ่งสิ่งที่ผมคิดนี้ก็ดันไปเห็นพ้องกับเจ้าของแบรนด์อย่างคุณ Yasai เสียพอดี นี่คือสิ่งที่ผมตั้งใจเอาไว้ และผมมีความเชื่อมั่นว่าเราจะประสบความสำเร็จอย่างแน่นอน"
คุณคัดเลือกคอนเซ็ปท์ในการ Collaboration ในแต่ละครั้งไว้อย่างไร ทั้งในการบริหารงานแบรนด์ของคุณเองและกับ Uniqlo UT ?
"มันค่อนข้างยากที่อยากจะพูดถึงเรื่องนี้ในเชิงวิชาการ หรือหลักการ … อะไรก็แล้วแต่นะครับ…ช่างเถอะ เพราะมันเป็นหนึ่งในขั้นตอนที่ผมทำงานร่วมกับทีมออกแบบของผมมาอย่างยาวนาน และเราสามารถที่จะร่วมงานกันได้อย่างลื่นไหลในแบบของเราเอง เราเพียงแค่ประชุมกันและปรึกษาหารือนิด ๆ หน่อย ๆ ในขณะที่การ Collabs ในบางโปรเจ็คท์ก็ผุดขึ้นมาอย่างไม่ทันคาดคิด เช่นตอนที่ Pharrell Williams อยากร่วมงานกับผม ดังนั้นผมจึงบอกไม่ได้เลยว่าอะไรคือบรรทัดฐานของเรา "
การ Collaboration หลายครั้งของคุณสร้างความฮือฮาในวงการสตรีทแฟชั่น และได้รับความสนใจอย่างล้นหลามจนสินค้าต่าง ๆ ไม่พอกับความต้องการของตลาด คุณรู้สึกแปลกใจไหมที่เกิดเหตุการณ์อะไรอย่างนี้อยู่บ่อยครั้ง ?
"Uniqlo เป็นแบรนด์ที่มีคุณค่าในตัวเองอยู่แล้วอย่างเต็มเปี่ยม ผมจึงสามารถใช้สิ่งที่มีอยู่แล้วของแบรนด์นำไปต่อยอดกับสิ่งต่าง ๆ ได้อย่างเต็มที่ ไม่ว่าจะเป็นการร่วมงานกับศิลปิน Graffiti อย่าง KAWS ที่ได้รับฟีดแบ็คในเชิงบวกอย่างล้นหลาม หรือคอลเล็คชั่นอื่น ๆ เพราะฉะนั้นสิ่งที่ผมทำก็มีแค่การเพิ่มลูกเล่นในแบบต่าง ๆ ที่ Uniqlo ไม่เคยมี ให้มีอยู่และออกสู่สายตาของผู้บริโภค มันค่อนข้างยากเพราะกลุ่มลูกค้าของคุณกว้างขึ้น แต่ว่ามันก็สนุกจริง ๆ กับการทำงานในสโคปใหญ่แบบนี้"
มันยากหรือไม่กับการที่คุณต้องมาควบคุมงานออกแบบในอุตสาหกรรมเสื้อผ้าในสโคปที่กว้างขึ้นมาก จากที่คุณเคยคร่ำหวอดอยู่เฉพาะในวงการ Streetwear ?
"มันยากมาก ไม่ใช่แค่ในวงการเสื้อผ้าหรอกนะ วงการเพลงก็เช่นเดียวกัน มันเป็นเรื่องที่ท้าทายเหลือเกินที่จะทำให้ทุกคนยอมรับอะไรบางอย่างเป็นเสียงเดียวกัน รสนิยมของผู้คนเป็นสิ่งที่หลากหลายและเป็นซับเซ็ทที่ไม่มีวันสิ้นสุด เพราะฉะนั้นนี่ถือเป็นความท้าทายที่ผมต้องเผชิญ"
ทำไมคุณถึงคิดว่า Streetwear คือแนวทางการแต่งตัวที่เผยแพร่อิทธิพลให้กับวงการแฟชั่นไว้อย่างใหญ่หลวง จวบจนถึงปัจจุบัน ?
"ก็เพราะว่าพวกเราโตมากับมันไงละ creative director หลายท่านของแบรนด์ยักษ์ใหญ่ในปัจจุบันล้วนเป็นผู้คนในวัยเดียวกันกับผมทั้งนั้น และเมื่อคุณได้เห็นการที่แบรนด์ไฮเอนด์ทั้งหลายกระโดดลงมาร่วมสู้กันในสนามรบที่มีชื่อว่าสตรีทแฟชั่น ณ เวลานี้คุณก็คงเข้าใจในคำตอบของผมได้อย่างง่ายดาย"
ทุกวันนี้คุณเห็นได้ว่าทุกแบรนด์ต้องการที่จะทำงาน Collaboration กับแบรนด์อื่น ๆ ไปเสียหมด ปรากฏการณ์นี้ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน เพราะอะไร ?
"ผมไม่แน่ใจเหมือนกันว่าเพราะอะไร ผมไม่สามารถตอบคุณได้จริง ๆ ว่าเพราะอะไรถึงเป็นเช่นนั้น เหมือนกับปรากฏการณ์นี้จู่ ๆ มันก็เกิดขึ้นมาอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย และที่แน่นอนเลยคู่ผมไม่ใช่แฟนตัวยงของงาน Collabs หรอกนะ"
Source : Hypebeast
