ตั้งแต่ปี 1911 ที่แบรนด์ไฮเอนด์ฝรั่งเศสอย่าง Hermès ได้สัมผัสกับชายฝั่งแดนอาทิตย์อุทัยเป็นครั้งแรก เมื่อเจ้าชาย Kan’in Kotohito ได้ว่าจ้างช่างฝีมือเครื่องหนังจากฝรั่งเศสเจ้านี้มารับหน้าที่ประดิษฐ์อุปกรณ์เครื่องหนังสำหรับทหารม้าญี่ปุ่นในยุคนั้น จนกระทั่งในปี 1961 ก็เป็นครั้งแรกที่ผลิตภัณฑ์ของ Hermès ได้ออกวางจำหน่ายสู่สาธารณชนเป็นครั้งแรก และต่อยอดความสำเร็จของตนเองด้วยการเปิดร้านค้าใน 40 ประเทศทั่วโลกในปัจจุบัน
และหลังจากที่กุมบังเหียนความสำเร็จเบื้องหลังแผนกเครื่องแต่งกายบุรุษมาตั้งแต่ปีกว่า 30 ปี Veronique Nichanian ก็ได้ทุ่มเทศักยภาพของตนเพราะเล็งเห็นถึงความสำเร็จของแบรนด์เป็นจุดสำคัญ จึงได้จัดนิทรรศการศิลปะโดยใช้ชื่อว่า "ธรรมชาติของบุรุษเพศ" (The Nature of Men) ตั้งแต่เมื่อช่วงเดือนมกราคมที่ผ่านมา ณ สนามบิน Haneda กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น ด้วยการรับเชิญศิลปิน , สถาปนิก , และอีกหลายแขนงอาชีพที่เกี่ยวกับแนวคิดดังกล่าวมาร่วมสร้างผลงานต่าง ๆ อย่างหลากหลาย ด้วยการแบ่งหมวดหมู่ตามห้องจัดแสดงซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความหมายของแบรนด์ "Hermès" ในมิติต่าง ๆ ด้วยรายละเอียดจำเพาะที่เน้นความเป็นแบรนด์จากจุดที่เล็กที่สุดตั้งแต่ดอกหญ้าไปจนถึงดวงดาว
เช่นอาคารที่ก่อสร้างขึ้นเพื่อนิทรรศการนี้ออกแบบโดยสถาปนิก Nigel Peake ที่ต้องการสะท้อนถึงนามธรรมแห่ง Hermès ที่ไม่เคยหยุดยั้งในการพัฒนาและรักษามาตรฐานที่สูงล้ำของแบรนด์ตนเองภายใต้สถาปัตยกรรมแนวยูโทเปียซึ่งบันดลให้เกิดภาพของแบรนด์ประวัติศาสตร์ยาวนานอย่างเต็มประดา ทว่าไม่ยึดติดกับ "ความสำเร็จ" ของตนเองและพร้อมที่จะก้าวเข้าสู่ยุคใหม่ของงานดีไซน์ต่อไป
และแน่นอนว่าดนตรีคือสิ่งที่อยู่คู่กับมนุษย์มาอย่างยาวนาน แฟชั่นก็มีความสัมพันธ์กับดนตรีในรูปแบบเดียวกัน แผ่นไวนิลทั้ง 72 แผ่นที่รวบรวมบทเพลงที่ใช้เปิดในงานแฟชั่นโชว์ของแบรนด์อมตะแบรนด์นี้ถูกออกแบบหน้าปกใหม่โดย Theirry Planelle ซึ่งดำรงตำแหน่ง Music Executive ให้กับทางแบรนด์ โดยเหล่าหน้าปกแผ่นไวนิลเหล่านี้ได้รับแรงบันดาลใจงานดีไซน์มาจากเหล่าผ้าพันคอสุดคลาสสิคของ Hermès
และเมื่อเราเดินไปยังอีกห้องหนึ่งซึ่งมีชื่อว่า "Expression of Time" คุณจะได้พบกับเสื้อแจ็คเก็ตหนังในตำนานเก้าตัวที่ถูกครอบครองโดยเหล่าลูกค้าคนพิเศษของทางแบรนด์ ตกแต่งล้อมกรอบมิดชิดติดอยู่บนผนัง แต่ละตัวมีเรื่องราวที่แตกต่างกันไปตามช่วงเวลาของมันที่เคยรุ่งเรืองเฟื่องฟูในแต่ละยุค แต่ละสมัย
และปิดท้ายกันที่ห้องที่ถูกล้อมรอบไปด้วยรองเท้าของแบรนด์ ซึ่งต้องการให้ผู้ที่เข้ามาอยู่ในห้องได้รับความรู้สึกของ "ชายผู้หนึ่งซึ่งเลือกรองเท้าใส่ออกจากบ้านไม่ได้เสียที" ซึ่งห้องนี้ถือเป็นความหลักแหลมทางความคิดสร้างสรรค์ที่ต้องปรบมือให้เลยทีเดียว การผสมผสานทริปเดินทางระหว่างอดีตไปสู่โลกอนาคตของแบรนด์ที่ถูกเรียกว่า "ตำนาน" แบรนด์นี้ช่างหอมหวานรัญจวนใจเสียเหลือเกิน