เมื่อช่วงเวลาของกระแสรองเท้าผ้าใบ คุณเชื่อในความ HYPE ในสิ่งเหล่านั้นหรือไม่ และอะไรคือความ HYPE เรามาดูวิวัฒนาการของสตรีทแฟชั่นในช่วงเวลา 10 ปีที่ผ่านมากันได้เลย
Hype หากแปลเป็นภาษาไทยแล้วคงมีความหมายประมาณว่า “การทำให้ผู้คนรู้สึกตื่นเต้น ตกใจ ให้ความสนใจในตัวเรา” ส่วนมากเรานำมาใช้กับเรื่องของเสื้อผ้า การแต่งตัว รวมถึงสิ่งของด้วย มันเป็นเรื่องของยุคสมัยที่เปลี่ยนไป และเราต่างเฝ้ารอดูว่าจะมีอะไรมาใหม่ในช่วงเวลาต่อไป แล้วมันจะดีและเจ๋งกว่าช่วงเวลาที่ผ่านมาไหม เราไม่สามารถคาดเดาได้ แต่ยุคสมัยย่อมมีการเปลี่ยนแปลง
คำว่า Hype เป็นคำที่ถูกใช้มาอย่างต่อเนื่องจากวงการรองเท้าผ้าใบ รวมถึงถูกเรียกเป็นชื่อเล่นเว็บไซต์แฟชั่นชื่อดังอย่าง Hypebeast ที่กล่าวถึง “ผู้ที่ใช้ชีวิตอยู่และตายโดยไม่กังวลต่อสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้น” (อาจะหมายถึงคนที่ใช้ชีวิตได้อย่างเต็มที่ ไม่กลัวต่อสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้น) และเมื่อคำเหล่านี้ถูกเรียกจนติดปาก “Hyped” Sneakers จึงเป็นรองเท้าผ้าใบที่เป็นเป้าหมายหลักของแบรนด์ต่างๆ เพราะมันสามารถทำยอดขายได้ดี หากมีรองเท้ารุ่นพิเศษที่ผลิตออกมาจำนวนจำกัด มีรายละเอียดคุณภาพรองเท้าที่ดี หรือร่วมออกแบบกับศิลปินคนดังยิ่งทำให้รองเท้าเหล่านั้นมีความ “Hype” มากยิ่งขึ้น
ในทุกๆปี หรือทุกๆสัปดาห์จะมีสินค้าออกใหม่ทุกครั้ง ทั้งรุ่นธรรมดาและรุ่นพิเศษ แต่สำหรับคนที่ชอบความ “Hype” เป็นพิเศษนั้นอาจจะลำบากมากยิ่งขึ้น เพราะถ้าหากคุณซื้อสินค้าเหล่านั้นไม่ทัน คุณจะต้องยอมเสียเงินมากขึ้นในราคารีเซล เพื่อซื้อสินค้าเหล่านั้น ยิ่งถ้าเป็นรองเท้าผ้าใบบางคู่นั้นราคาพุ่งสูงขึ้นจนน่าตกใจ
แต่ความจริงแล้วความ “Hype” นั้นอาจเกิดการเปลี่ยนแปลงได้ เราสามารถกำหนดเองได้ว่าอะไรคือความ “Hype” ของเรา มันไม่ใช่แค่รองเท้า หรือสิ่งของชิ้นใดชิ้นหนึ่งบนตัวของคุณ มันขึ้นอยู่กับสไตล์ของคุณมากกว่า ว่าจะสร้างสรรค์มันออกมาอย่างไร และเรามาดูกันว่าตลอดระยะเวลา 10 ปีที่ผ่านมาเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างไรบ้าง
2006
เป็นยุคสมัยของรองเท้าทรง Dunk อย่างแท้จริง ไม่ว่าจะเป็น Nike SB Dunk Hi หรือ Low ถึงแม้ว่ารองเท้า Nike Air Force 1 จะเริ่มเป็นที่นิยม แต่ก็ไม่สามารถเทียบกับ Dunk ได้เลยในยุค 2000s หลังจากนั้นไม่นานเว็บบอร์ด Hypebeast ถูกสร้างขึ้นเพื่อเป็นสังคมรองเท้าออนไลน์ คล้ายๆกับ Solecollector, Sneaker Freaker และเว็บ Superfuture ซึ่งทั้งหมดนี้จัดว่าเป็นสังคมออนไลน์สำหรับผู้ที่ชื่นชอบรองเท้าผ้าใบอย่างแท้จริง
Pharrell Williams เป็นคลื่นลูกใหม่ของ Style Icon ด้วยความมีเอกลักษณ์และสไตล์การแต่งตัวที่โดดเด่น ทำเอาศิลปินแร็พเปอร์รุ่นก่อนๆถึงกับตกเทรนด์กันเลยทีเดียว เสื้อเชิร์ตพับแขน หรือเสื้อโปโลสีพาสเทลที่เขาเลือกใส่คู่กับแบรนด์สตรีทหน้าลิงสัญชาติญี่ปุ่นอย่าง A Bathing Ape โดยมีเสื้อฮู้ด “Bape Camo” และรองเท้า AF1 Bapesta ที่ใครมีโอกาสได้ใส่ในสมัยนั้นถือว่า “Hype” สุดๆอย่างแน่นอน
2007
ถ้าคุณเป็นคนที่ชอบการแต่งตัว แต่ไม่รู้แนวทางว่าควรจะแต่งตัวแบบไหนดี ปี 2007 เป็นช่วงเวลาที่ดีมากสำหรับคนที่จะเริ่มต้น เป็นยุคที่ผู้คนอยู่ท่ามกลางเสื้อยืดสกรีนเต็มตัว เสื้อฮู้ด หมวก New Era และรองเท้าผ้าใบคู่โปรด ผู้คนส่วนมากมักจะมีแบรนด์โปรดอยู่เสมอ ถ้าชอบแบรนด์ไหนก็จะใส่แต่แบรนด์เหล่านั้น คุณสามารถเห็นได้เลยว่าแต่ละแบรนด์จะเลือกใช้ Logo หรือภาพจากลายเสื้อเดิมมาทำซ้ำอีกครั้ง เพราะมันสามารถขายให้กับลูกค้าที่ซื่อสัตย์กับแบรนด์ได้ อีกหนึ่งแนวโน้มที่เกิดขึ้นกับสังคม Hypebeast นั่นก็คือเหล่า Sneakerheads บางคนพยายามที่จะทำตัว Hype เวลาได้รองเท้าคู่ใหม่หรือรองเท้ารุ่นพิเศษ ก็จะทำตัวแบบใน Video “How to be a Hypebeast” แต่อีกเรื่องหนึ่งที่จะพลาดไม่ได้เลยก็คือ การใส่กางเกงยีนส์ตัวโปรดกับรองเท้าผ้าใบ เพราะบางคนเลือกที่จะใส่กางเกงยีนส์ทรงใหญ่กับรองเท้าผ้าใบซึ่งมันดูไม่ดีซักเท่าไร แต่หลายคนเลือกกางเกงทรง Slim อย่าง Levi’s 501 กับรองเท้าผ้าใบคู่โปรดแทน
2008
ยุคแห่งความสิ้นเปลืองที่ยังคงความนิยมอยู่เสมอ แต่อย่างที่เราเรียกกันว่า “Hypebeast” เป็นการเริ่มต้นเทรนด์แฟชั่นสตรีทแวร์ที่ควบคู่ไปกับวัฒนธรรมสเก็ตบอร์ด แน่นอนว่าส่วนมากผู้ชายหลายคนเล่นสเก็ตบอร์ด และมันเป็นการเปลี่ยนแปลงไลฟ์สไตล์ของพวกเขา การแต่งตัวแนวสเก็ตบอร์ดและมีเครื่องประดับหรือกระเป๋าสะพายเพิ่มเติมมาด้วย ในช่วงเวลานี้กระเป๋าสพายสไตล์แร็พเปอร์อย่าง Pharrell หรือ Kid Cudi ได้วางจำหน่ายบนเว็บไซต์อย่าง UpscaleHype ซึ่งเหล่าสเก็ตเตอร์ก็ไม่พลาดที่จะจัดมาสพายคู่กับแผ่นสเก็ตอันโปรดอีกด้วย Kid Cudi เริ่มเป็นที่รู้จักกว้างขวางขึ้นจากกระแสเพลง “Oldie, But Goodie” รวมถึง Kanye West จากค่ายเพลง G.O.O.D. Music
2009
ในช่วงเวลาที่หลายคนบอกว่า Kanye West คือผู้ที่มีอิทธิพลต่อวงการแฟชั่นมากที่สุด โดยมันเริ่มจากการที่เขาปล่อยอัลบั้ม “The College Dropout” ในปี 2004 แต่มันไม่ได้เป็นการเริ่มต้นแบบจริงๆจนกระทั่งเขาปล่อยอัลบั้มที่สาม “Graduation” ในปี 2007 บทสรุปของความเปลี่ยนแปลงคือการที่เขาเลือกใส่แว่นตาทรง Sutter Share สี Neon ใน MV เพลง “Stronger” หลังจากนั้นเขาก็ได้ปล่อยอัลบั้มที่สี่ “808s & Heartbreak” ออกมา และการแต่งตัวของเขานั้นเปลี่ยนไป โดยเลือกใส่เสื้อ Wool Suited และ Faux Hawk แต่สิ่งที่เขาทำให้ผู้คนตื่นเต้นมากที่สุดนั่นก็คือ ผลงานการออกแบบรองเท้ารุ่นพิเศษของเขากับแบรนด์รองเท้าที่ใหญ่ที่สุดในโลก มันทำให้วงการสนีกเกอร์เฮดสั่นสะเทือน อีกทั้งทำให้ผู้คนที่หันมาสนใจรองเท้าผ้าใบมากยิ่งขึ้น รวมถึงวงการรองเท้าทั่วโลกต้องจับตามอง Kanye West อีกด้วย
2010
จุดเริ่มต้นของแฟชั่น Hi-End Streetwear เสื้อผ้าผู้ชายที่ถูกยกระดับขึ้น หลายคนกังวลกับยี่ห้อและชื่อเสียงของแบรนด์ Supreme ทำให้เห็นแล้วว่าพวกเขาประสบความสำเร็จอย่างมาก และต้องขอบคุณวัยรุ่นหน้าใหม่อย่าง Tylor, The Creator อีกหนึ่งแบรนด์ใต้ดินสัญชาติญี่ปุ่น Visvim ก็ไม่ใช่แบรนด์หน้าใหม่สำหรับ Hypebeast อีกต่อไป ด้วยการนำรองเท้ารุ่น FBTs, Hockneys, และ Shamans ที่รูปทรงเหมือนรองเท้า Vans ทำให้เป็นที่รู้จักกันอย่างกว้างขวาง หลังจากที่ได้ขึ้นมาเป็นแบรนด์ยอดนิยมในช่วงปี 2000s Hiroki Nakamura ผู้ก่อตั้งแบรนด์ Visvim ก็ได้ขึ้นราคาสินค้าของแบรนด์ให้สูงขึ้นไปอีก แต่เหล่า Hypebeast ก็ไม่สนใจกับราคาที่สูงขึ้น และในยุคสมัยที่กล้องโทรศัพท์มือถือยังห่วยแตกนั้น การเปิดตัวแอ็พพลิเคชั่น Instagram ก็ทำให้วงการสตรีทแฟชั่นได้มีฟอรั่ม WDYWT ขึ้นมาบนเว็บไซต์เพื่อแบ่งปันสไตล์การแต่งตัวซึ่งกันและกัน
2011
แบรนด์ “Runban Lumberjack” นำแฟชั่นกระเป๋าผ้าเคลือบแว็กซ์และกระเป๋าโน๊ตบุ๊ค “Moleskint” กลับมาอีกครั้งในปี 2011 ทำให้ผู้นำแฟชั่นผู้ชายตื่นตัวมากขึ้นในปัจจุบัน มันเป็นการเริ่มต้นความรู้สึกของการเปลี่ยนแปลงในอุตสาหกรรมเครื่องแต่งการผู้ชาย แบรนด์เสื้อผ้ายุโรปได้รับความนิยมมากขึ้น ซึ่งเป็นเหมือนกับการขับเคลื่อนแฟชั่นผู้ชายที่แตกต่างออกไป รองเท้าผ้าใบและเสื้อผ้าแนวสตรีทถูกย้อนกลับไปอยู่ในยุครองเท้าสไตล์ Red Wing Moc Toe boots, Yuketen Moccasins, และ Mark McNairy Saddle Shoes เพื่อเข้าถึงความเป็นอเมริกันสไตล์ Menwear Blogs ได้กระแสตอบรับดีมากใน Tumblr และทำให้มี Influencer แจ้งเกิดมากมาย แฟชั่นสตรีทแวร์ในยุคนี้ยังคงความเป็นอเมริกันอย่างเคย แต่ทุกคนเลือกลองใส่เสื้อ J.Crew Chambray Shirts กับกางเกงยีนส์ทรง Slim หรือกางเกง Chinos และในปีนี้ยังเป็นปีสำคัญที่มีการปล่อยรองเท้ารุ่นพิเศษสุดๆอย่าง Nike Mags ออกมาอีกด้วย
2012
เป็นยุคของแฟชั่น Street-Style จากเหล่าคนดังที่โลดแล่นอยู่บนโลกแฟชั่นอย่างแท้จริง สำหรับผู้ที่ชื่นชอบและหลงใหลในแฟชั่นคงได้เห็นการแต่งตัวของเหล่าคนดังจากงาน Paris, London, Milan, และ New York Fashion Week อยู่มากมาย ทุกคนสวมใส่เสื้อผ้าที่ดูพร้อมจะโลดแล่นบน Runway ตามท้องถนนพร้อมกับรองเท้าคู่โปรดสุดลิมิเต็ดมาอวดโฉมกัน เป็นการผสมผสานวัฒนธรรม Hip-Hop เข้ากับแฟชั่นอย่างลงตัว ทำให้หลายแบรนด์เพิ่มมูลค่าให้ตัวเองด้วยการทำให้เป็น Luxury Street Brand โดยออกแบบสินค้าพวก Printed T-Shirts และ Lifestyle Sneakers แต่สำหรับเหล่า Hypebeast พวกเขาก็ไม่พลาดที่จะหารองเท้ารุ่นพิเศษของ Kanye West ผลงานการออกแบบรองเท้ารุ่นที่สองกับแบรนด์รองเท้าระดับโลกอย่าง Nike มาครอบครองกันให้ได้ในยุคนี้
2013
“Bro, did you even get any reblogs?” ประโยคที่วัยรุ่นมักถามกันว่า “แกได้โดนใครกด reblog ภาพของแกบ้างไหม?” เหล่าวัยรุ่นสุด Hype ต้องถามกันอยู่เสมอ เพราะวัฒนธรรมโลกออนไลน์นั้นสร้างคนแปลกๆขึ้นมาอยู่ตลอดเวลา เป็นพวกที่ชอบเรียกร้องความสนใจ ต้องการให้คนติดตามและกดถูกใจบนรูปภาพของตัวเองอยู่ตลอด เป็นยุคที่โลกอินเตอร์เน็ตเจริญรุ่งเรืองอย่างมาก เหมือนกับว่าพวกแบรนด์ต่างๆแข่งขันกันออกแบบคอลเลคชั่นที่ใครดาร์คกว่ากัน รองเท้า Flyknits, Lunar Force 1s หรือรองเท้าสุดคลาสสิคอย่าง AJ 1s, 3s, 4s สามารถพบเจอได้ทุกๆที่ และรองเท้าที่เรียกว่าร้อนแรงที่สุดอย่าง Air Yeezys นั้นทำให้เหล่า Sneakerheads เกิดความคลั่งไคล้เป็นอย่างมาก
2014
Kanye West ประกาศแยกทางกับ Nike เป็นเรื่องที่เหล่า Sneakerheads ยากที่จะยอมรับได้ เพราะเขานั้นได้จับมือร่วมกับแบรนด์คู่แข่งตลอดการของ Nike นั่นก็คือ adidas เขาเป็นศิลปิน Hip-Hop รุ่นใหญ่ในวงการ และยังได้เป็นหนึ่งในบุคคลที่ทรงอิทธิพลต่อวงการแฟชั่นระดับโลกอีกด้วย ทุกอย่างที่เขาสวมใส่ และทุกแบรนด์ที่เขาได้มีส่วนร่วมนั้นถูกเพิ่มมูลค่ามากขึ้นสูงเหมือนทองคำ ดูอย่าง Fear of God และ Pyrex แน่นอนว่า A.P.C. ด้วยเช่นกัน Nike รู้ตัวว่าพวกเขาเสียคนสำคัญไปแต่ก็ไม่ได้ทำให้พวกเขานั้นอยู่อันดับที่ต่ำกว่าคู่แข่ง พวกเขาแค่อาจจะขับเคลื่อนแบรนด์ไปได้ช้ากว่าเดิม หลังจากแยกทางกับ Kanye West ทาง Nike ก็ได้เปิดตัวรองเท้าผลงานการออกแบบของ Kanye รุ่นสุดท้ายออกมาแบบเซอร์ไพรส์มาก (Red October) เพราะหลายคนคงคิดว่ามันถูกยกเลิกอย่างเป็นทางการแล้วเมื่อได้รู้ข่าวการแยกทางของทั้งสอง แต่เพื่อเป็นการบอกว่า Nike ไม่ต้องการเขาแล้ว Nike จึงนำรองเท้ารุ่นนี้มาจำหน่ายให้หมดไป หลังจากที่ adidas ได้ Kanye West ไปร่วมงานแล้ว พวกเขายังได้ Pharrell Williams อีกด้วย ทำให้ผลงานการออกแบบรองเท้าของทั้งสองนั้นสร้างยอดขายให้กับแบรนด์ adidas เป็นอย่างมาก
2015
ปีของรองเท้า adidas Yeezy อย่างแท้จริง ผลงานการออกแบบรองเท้าของ Kanye West ถูกเปิดตัวอย่างเป็นทางการในปี 2013 มีหลายคนตั้งตารอคอยผลงานชิ้นใหม่ของเขาที่ทำร่วมกับแบรนด์คู่แข่งของค่ายเดิมอย่าง adidas การขึ้นโชว์บนงาน Fashion Week ในเดือนกุมภาพันธ์ของ Kanye West ได้รับคำชมและคำสรรเสิญอย่างล้นหลามจากการได้เห็นรองเท้าผ้าใบรุ่นใหม่ที่เขาออกแบบถูกสวมใส่ในงานนี้ถึงสองโมเดลนั่นก็คือ Yeezy Boost 750 และ 350 ซึ่งเป็นรองเท้าวิ่งทรง Low-Top ที่เขาออกแบบเป็นครั้งแรก รองเท้าทั้งสองรุ่นถูกปล่อยภาพออกมาเรื่อยๆบนอินเตอร์เน็ตจนทำให้เกิดกระแสวิจารณ์กันอย่างมาก แถมยังทำให้เกิดกระแสการเปลี่ยนแปลงของวงการรองเท้าผ้าใบออนไลน์อีกด้วย
2016
วัฒนธรรมใน Instagram กระโดดข้ามไปถึงในช่วงที่สองของทศวรรษ ในขณะที่ทุกคนกล่าวถึงเรื่อง “ความแตกต่าง” ของเครื่องแต่งกายใน Instagram มันสร้างความนิยมมากขึ้นบนหน้าฟีด อย่างเช่นเครื่องแต่งกายและรองเท้าวิ่งของ adidas โดยเกิดขึ้นจากรองเท้า Yeezy Boost และเป็นปีของรองเท้า NMD ที่ถูกแยกตัวออกมาจากรองเท้า Ultra Boost ซึ่งเป็นความเรียบง่ายของเทคโนโลยี Primeknit และพื้น Boost ที่เข้ามาทำตลาดในช่วงนี้ ทำให้แบรนด์ adidas ประสบความสำเร็จอย่างมาก ซึ่งเรียกได้ว่าแซงหน้าคู่แข่งอย่าง Nike ไปเต็มๆ ในส่วนขอปฏิธินการวางจำหน่ายรองเท้าของ adidas กลายเป็นที่สนใจจากเหล่า Sneakerheads มากยิ่งขึ้น โดยหลายคนอยากรู้ข่าวของ Yeezy Boost 550 และรองเท้ารุ่นอื่นๆอีกด้วย
ในปีต่อๆไปที่จะมาถึงนั้นจะมีการเปลี่ยนแปลงอย่างไร กระแสความ “Hype” นั้นจะมีแนวโน้มไปทางไหน และจะมีรองเท้ารุ่นใหม่อะไรออกมาให้เราได้จับจองกันอีกบ้าง ทุกอย่างเป็นเรื่องที่น่าตื่นเต้นสำหรับผู้ที่ชื่นชอบและสนใจในแฟชั่นรวมถึงรองเท้าผ้าใบเป็นอย่างมาก แต่อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าเราจะชอบการแต่งตัวแบบไหน มันก็มีความ “Hype” ในแบบที่เราเป็นอยู่แน่นอน
Credit: NICK GRANT from Complex
Credit Picture: Jeff Östberg