Nike VS adidas ใครกันแน่ที่ครองตลาดในอุตสาหกรรมแห่งการแข่งขันนี้

ในปัจจุบันด้วยอิทธิพลของการเชื่อมโยงตลาดทั่วโลกภายหลังสงครามโลกครั้งที่ 2  และการล่มสลายระบบเศรษฐศาสตร์แบบคอมมิวนิสต์  สังคมโลกเข้าสู่กลไกลการแข่งขันในระบบทุนนิยมเต็มที่  ผลพวงอย่างหนึ่งของการเข้าสู่ วิถีการดำเนินชีวิตภายใต้การแข่งขันขับเคี่ยวของเหล่าธุรกิจ  ที่ล้วนต้องการเป็นที่หนึ่งในตลาดคือผลิตภัณฑ์เจ๋งๆมากมาย  สำหรับผู้ฝักใฝ่ในสไตล์การดำเนินชีวิตแบบ Street คงจะปฏิเสธไม่ได้ว่ารองเท้ามีความสำคัญต่อภาพลักษณ์รวมอย่างมาก แบรนด์ ​Haute Couture หรูๆอย่าง Louise Vuitton ยังหันมาสนใจทำรองเท้าแบบ Sneaker เลย  โดยไม่ว่าเพื่อต้องการตัดส่วนแบ่งตลาดนี้โดยตรงหรือเป็นการเสริมแบรนด์ให้ดูทันสมัย Sneaker ได้มาเป็นสัญลักษณ์แห่งยุคสมัยแล้ว  แล้วถ้าจะพูดถึง Sneaker เราก็นึกถึงสองแบรนด์ผู้บุกเบิกอย่าง Nike และ  Adidas ในความคิดของสาวกแต่ละค่ายคงมีเหตุผลต่างกันไปในการเลือกเสพ  แต่หากเราลองมาดูภาพใหญ่เชิงธุรกิจแล้ว  มันค่อนข้างชัดมากว่าในตอนนี้ใครใหญ่สุดในวงการ  Sneaker  ลองมาดูบทความนี้ที่แปลมาจากเว็บ highsnobiety.com กันครับ

“ความไม่เป็นมิตรกันระหว่าง Nike กับ Adidas ไม่ใช่ความลับเลย ด้วยการฟ้องร้อง  การแย่งชิ่งการสับสนุนให้เหล่า  Superstar  และการแปรพักตร์ของนักออกแบบ  2-3  ปีมานี้ แบรนด์ 3 ขีด ได้พยายามอย่างเอาเป็นเอาตายที่จะล้มบัลลังก์คู่แข่งตัวฉกาจผู้ครอบครองตลาด

ขณะที่ในโลกแห่งแฟชั่น Adidas ได้ประสบณ์สุขกับการฟื้นตัวทางการตลาดจากการจับมือกับนักออกแบบ  การเอาสินค้ารุ่นคลาสสิคที่เหนือกาลเวลามาออกใหม่ และด้วยโปรเจคท์ YEEZY ที่เป็นตัวคว้าคำพาดหัวข่าว แต่ในความเป็นจริงนั้นยี่ห้อ  Adidas  เป็นเพียงเด็กน้อยถ้าเทียบกับ  Nike  ที่ครองสัดส่วนตลาดรองเท้าในสหรัฐอเมริกาชิ้นเบ้อเฮิ่มอยู่ที่  48%  โดยส่วนแบ่งตลาด  9%  ของ  Adidas  ลดลงต่อเนื่องมาทุกปีตั้งแต่ปี 2011

เพื่อให้เรื่องราวของ  2  ยี่ห้อนี้กระจ่างขึ้น  สามารถติดตามได้จากกราฟด้านล่าง  เพื่อแสดงให้เห็นถึงมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดในช่วง  15  ปี ให้หลังมานี้  เศรษฐศาสตร์ 101 แบบด่วน – มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดคือราคาหุ้นของยี่ห้อคูณด้วยจำนวนหุ้นที่ขายได้ และมันถูกใช้เป็นตัวแทนความคิดเห็นสาธารณะต่อมูลค่ารวมของบริษัท  และถูกใช้โดยเหล่านักลงทุนเป็นวิธีกำหนดขนาดของบริษัท

Nike  แสดงมูลค่าตามราคาตลาดของเป็นสีแดง  ส่วน Adidas เป็นสีน้ำเงิน

2001 – 2005: เทียบเท่ากัน

ทุกๆอย่างค่อนข้างเท่ากันอยู่ระหว่างสองยักษ์ใหญ่เครื่องกีฬาในช่วงปี  2000  ต้นๆ  Adidas  ได้เริ่มปล่อยไลน์การผลิต  Y-3  ที่ร่วมทำกับ Yohji Yamamoto (ผู้ซึ่งจริงๆแล้วอยากทำงานกับ Nike นะจะบอกให้)  และเซ็นสัญญาตลอดชีพมูลค่า  $160  ล้านกับ  David Beckham  ในขณะที่  Nike  ทำการกวาดซื้ออย่างจริงจัง  กว้านเอา  Hurley, Converse และ  Starter  มารวมเป็นมูลค่าประมาณ  $450 ล้าน

โดยหลังฉาก  Herbert Hainer CEO  ปัจจุบันของ Adidas  ได้เข้ามาคุมบังเหียนในปี 2001 Michael Jordan ในที่สุดก็แขวนรองเท้าในปี2003 และในปีถัดมา Phil Knight ผู้ร่วมก่อตั้ง Nike ก็ออกลงจากตำแหน่ง CEO

2006 – 2010: Plot เริ่มเข้มข้นขึ้น

ในทุกๆแง่ปี  2010  เป็นปีที่ตระการตาสำหรับ Nike ในเชิงการเงิน โดยรายรับสูงถึง $19 พันล้าน – ซึ่งนั่นหมายความว่า Nike ทำเงินได้มากเท่ากับประเทศ Honduras ทั้งประเทศ – และมูลค่าตามราคาตลาดของมันก็ทะยานถึง $63.45 พันล้าน  “เราจบด้วยไตรมาสที่สุดยอดมาก และกำลังมีแรงขับเคลื่อนที่เพิ่มขึ้นทั่วทั้งภาคธุรกิจ”  Mark Parker  ได้ออกความเห็นในเวลานั้น  “Nike  สุดยอดที่สุดตอนเราตั้งใจกับคุณค่าหลักของเราสองประการคือ – การสร้างนวัตกรรมและแรงบันดาลใจ

ประธานบริษัทและ CEO Nike ได้อธิบายเพิ่มเติม  ซึ่งจะครอบครุมไปถึง 5 ปีที่ดีแบบบ้าไปแล้วสำหรับ Nike  “ในการเคลื่อนตัวไปข้างหน้า คุณจะเห็นผลิตภัณท์ที่จะเปลี่ยนเกมมากขึ้น ประสบการณ์ที่ดลบันดาลมากขึ้นในทุกๆที่  ที่ผู้บริโภคสัมผัสเหล่า ฺ Brand  ต่างๆของเรา  และความตั้งใจแบบโฟกัสสุดๆ  กับความเป็นเลิศทางด้านการดำเนินธุรกิจและการเงิน  สิ่งเหล่านี้ทำให้เราสามารถพุ่งทะยานออกได้ก่อและเร็วกว่าใครๆ”

Adidas  ในเวลาเดียวกัน  จบทศวรรษด้วยการตามอย่างห่างๆ ห่างมากๆเลยทางการเงินกับคู่ปรับอย่าง  Nike

2011- 2015: การครอบครองโลก

รายได้และชื่อเสียงของ  Nike  พุ่งขึ้นอย่างรวดเร็วในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา  การแตกหุ้น  (วิธีชั้นเชิงที่ออกแบบมาสำหรับเพิ่มจำนวนหุ้นขึ้นเพื่อขาย) ได้ทำให้เกิดการลดลงช่วงสั้นๆ  ของมูลค่าตามราคาตลาดของ Nike ในปี  2012  ซึ่งก็ไม่ได้หยุดยั้งให้แบรนด์มาถึงจุดสูงสุดในปัจจุบันที่มีขนาดเป็น  4  เท่าตัวของ  Adidas  การเซ็นสัญญาเหล่าดาวเด่นเข้าสังกัดของ  adidas ในช่วงที่ผ่านมา – James Hardem, Kanye West, NIGO และ Pharrell Williams  –  ไม่ได้สร้างความแตกต่างอะไรมากมายให้กับผลกำไรสุทธิ  แต่อย่างไม่ต้องสงสัยแบรนด์จากเยอรมันกำลังพยายามอย่างจริงจังที่เปลี่ยนสิ่งนี้ในอนาคต

 “การเจริญเติบโตของ Nike มาจากผลิตภัณฑ์ที่สุดยอด  การกระจายสินค้าที่ระมัดระวัง  ใส่ความคิด  และการตลาดที่เป็นเลิศ”  ผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับรองเท้า  Matt Powell  แห่งกลุ่มวิเคราะห์อุตสาหกรรม  NPD  บอกกับเรา “ในธุรกิจรองเท้าผ้าใบตัวผลิตภัณฑ์มาก่อนเสมอ  การตลาดที่ดีเยี่ยมไม่สามารถยกระดับผลิตภัณฑ์ที่แย่ได้”  ในขณะที่พลังการตลาดของ  Nike  นั้นเป็นที่ยอมรับกันโดยทั่ว  –  ตัวแบรนด์ใช้  $8  ล้านต่อวันในการทำสิ่งที่เรียกกันว่า  “การสร้างอุปสงค์”  –  แต่โดยแก่นแท้แล้วคือผลิตภัณฑ์ของพวกเค้าเป็นของฮิตทันทีทั่วโลก

ในสหรัฐอเมริกา  –  ซึ่งนับเป็น  40%  ของยอดขายเครื่องกีฬาทั่วโลก  –  สินค้าของ  Nike  ถูกบริโภคในปริมาณมหาสาร  ไม่ว่าเป็นรองเท้าวิ่งระดับล้ำหน้า  (ซึ่ง Nike ครองส่วนแบ่งตลาดอยู่ประมาณ 60%)  หรือรองเท้าบาสแบบต้องมีมาครอง  (ครองตลาดอย่างถล่มทลายอยู่ที่ 90%) หรือรองเท้าเล่นสเก็ตประสิทธิภาพสูง (ประมาณ 20%)

“Adidas  ได้ขยับหมากอย่างถูกต้องไว้มากและถ้าหากว่าใจเย็น  ก็จะสามารถเอาส่วนแบ่งตลาดที่เสียไป  กลับคืนมาได้” Powell สรุปให้เรา โดยกล่าวเสริมว่า  “แต่ในปัจจุบันไม่มีใครคุกคาม Nike ได้เลย”  ทั้ง Skechers และ  Under Armour  ทำการรุกคืบได้มากในไม่กี่ปีที่ผ่านมา   – ตอนนี้ Adidas เป็นแบรนด์รองเท้าที่ใหญ่เป็นอันดับที่ 3 ไปแล้วรองมาจาก UA – แต่ดูเหมือนว่าในความเป็นจริงแล้วไม่มีผู้ใดเลยที่จะเหนือ Nike ขึ้นมาได้ในวงการเครื่องกีฬา”

 

Credit : HighSnobiety

Author : PonPawn 

Share:

WATCHA GONNA ดู

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • คุกกี้ที่จำเป็น
    Always Active

    ประเภทของคุกกี้มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้ได้อย่างเป็นปกติ และเข้าชมเว็บไซต์ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้

  • คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์

    คุกกี้ประเภทนี้จะทำการเก็บข้อมูลการใช้งานเว็บไซต์ของคุณ เพื่อเป็นประโยชน์ในการวัดผล ปรับปรุง และพัฒนาประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ ถ้าหากท่านไม่ยินยอม ให้เราใช้คุกกี้นี้ เราจะไม่สามารถวัดผล ปรับปรุงและพัฒนาเว็บไซต์ได้

Save