ย้อนกลับเมื่อปี 2013 หนึ่งในข่าวที่ทำให้วงการสนีกเกอร์ต้องช็อค และสั่นสะเทือนคงหนีไม่พ้นข่าวของ Kanye West แร็ปเปอร์ชื่อดังได้ยุติการร่วมงานกับทาง Nike และเซ็นสัญญาข้ามฝากไปอยู่กับแบรนด์คู่แข่งอย่าง adidas แทน ทำให้เหล่าสนีกเกอร์เฮดและคนในวงการแฟชั่นทั้งหลายรู้สึกตื่นเต้น และต่างเฝ้ารอที่จะได้เห็นรองท้า Yeezy ในเวอร์ชั่นที่ร่วมทำกับทาง adidas (ก่อนหน้านี้รองเท้าที่ทาง Kanye West ร่วมทำกับ Nike นั้นต้องบอกเลยว่ากระแสตอบรับดีเป็นอย่างมาก)
หลังจากปล่อยให้สนีกเกอร์เฮดทั้งหลาย ต่างคาดเดาว่าหน้าตาของรองเท้าจะออกมาเป็นยังไง และแล้วการรอคอยก็ได้สิ้นสุดลงเมื่อต้นปี 2015 ทาง adidas ได้ปล่อยภาพของรองเท้ารุ่น Yeezy 750 Boost ออกมาให้ได้ชมกัน และแค่เพียงชั่วข้ามคืนรองเท้าคู่นี้ก็เป็นกระแสทอล์คออฟเดอะทาวน์ทันที แต่เป็นที่น่าเสียดายว่ารองเท้ารุ่นนี้ไม่มีวางจำหน่ายในประเทศไทย หลังจากกระแสการตอบรับดีอย่างถล่มทลายในรุ่น Yeezy 750 Boost ทาง adidas ก็ได้ปล่อยโมเดลตัวที่สองออกมานั่นก็คือ Yeezy 350 Boost ซึ่งค่อนข้างจะแตกต่างจากตัวแรกอยู่พอสมควร แต่ว่าในรุ่นนี้จะวางขายด้วยกันทั้งหมดสองสีได้แก่สีเทา (Grey) ซึ่งจะวางจำหน่ายก่อน และตามมาด้วยสีดำ (Pirate Black) ทันทีที่วางจำหน่ายก็ขายหมดลงอย่างรวดเร็ว ทั้งสองสีนี้มีวางจำหน่ายในประเทศไทยด้วย แต่มาในจำนวนจำกัดสุดๆ อ่านมาถึงตรงนี้คงสงสัยกันว่ารองเท้ามันมีดีอะไร คนถึงให้ความสนใจกันมากมายขนาดนี้ ซึ่ง Soul4street จะเอารองเท้าทั้งสามรุ่นที่ว่านี้มารีวิวให้หายสงสัยกันไปเลย ว่าทำไมราคามันถึงได้แพงและหลายๆคนต่างต้องการเป็นเจ้าของ
รองเท้ารุ่น Yeezy 750 Boost จะมาในกล่องกระดาษสีเทาเข้ม (ต้องขออภัยที่ไม่มีภาพ) ส่วน Yeezy 350 Boost จะมาในกล่องกระดาษสีน้ำตาล ต้องบอกว่าทาง adidas ออกแบบได้เรียบง่ายสุดๆ คือบนตัวกล่องจะไม่มีลวดลายอะไรเลยสำหรับรุ่น Yeezy 750 ส่วนรุ่น Yeezy 350 มีแค่สกรีนโลโก้ทาง adidas และ Yeezy เล็กๆติดมา โดยมีสติกเกอร์บอกรุ่น, ไซส์รองเท้า และพวกรายละเอียดต่างๆรวมถึงบาร์โค้ดเท่านั้น สำหรับในกล่องของ Yeezy 750 Boost จะมีกระเป๋าผ้าที่ไว้ใส่รองเท้ามาให้และเชือกสำรองด้วยอีกหนึ่งเส้น สำหรับ Yeezy 350 Boost มีเพียงกระดาษที่ห่อรองเท้ามาแค่นั้น
การออกแบบ
Yeezy 750 Boost : รองเท้ามาในทรงแบบหุ้มข้อ การออกแบบถือว่าทำออกมาได้ค่อนข้างได้อารมณ์ของความเป็นรองเท้าไฮเอนด์ ซึ่งตรงข้ามกับตัว Yeezy ก่อนหน้านี้ที่ทำกับทาง Nike ซึ่งทำออกมาค่อนข้างดูล้ำสมัยมาก ตัวรองเท้าจะมาในโทนสีเทาอมน้ำตาลนิดนึง ซึ่งจะชี้ชัดว่าเป็นสีอะไรแน่นอนนั้น (ผู้เขียนต้องขอภัยเนื่องจากไม่กล้าฟันธง) รองเท้าในส่วนของ Upper ใช้วัสดุหนังกลับต้องถือว่าคุณภาพสูงใช้ได้เลยล่ะ เพราะค่อนข้างเนียนนุ่มมือดีเลยทีเดียว ตรงรูร้อยเชือกมีด้วยกันทั้งหมด 5 รู โดยส่วนตัวชอบการออกแบบรูร้อยเชือกที่ดูต่างจากรองเท้าทั่วๆไป มาถึงสองจุดเด่นที่ไม่กล่าวถึงคงไม่ได้ อย่างแรกเลยคือสายรัด (Strap) ที่ไว้เพิ่มความกระชับ จริงๆแล้วก็ถือเป็นเอกลักษณ์อย่างนึงของรองเท้ารุ่น Yeezy รวมถึงตัวที่ทำก่อนหน้านี้กับทาง Nike ก็มีสายรัด (Strap) เช่นกัน มาถึงอีกจุดเด่นคือซิปที่อยู่ด้านข้างของรองเท้า ด้วยทรงของรองเท้าเป็นแบบหุ้มข้ออาจจะทำให้การสวมใส่ค่อนข้างลำบาก จึงออกแบบให้มีซิปเข้ามาช่วยในการทำให้ใส่รองเท้าได้ง่ายขึ้น ซิปที่ติดมานี้ค่อนข้างลื่นรูดขึ้นลงได้ง่ายไม่มีปัญหา ตรงส่วนของปลายรองเท้าจะเจาะรูเพื่อช่วยในเรื่องการระบายอากาศ มาถึงด้านในของรองเท้ากันบ้างซึ่งไม่มีฟองน้ำบุแต่จะเป็นวัสดุแบบเดียวกับด้านนอกเลย แต่เวลาเดินไม่ได้ทำให้รุ้สึกแข็งกระด้าง มาดูตรงส่วนพื้น (Sole) กันบ้างซึ่งแน่นอนว่าเป็นเทคโนโลยีที่ทางแบรนด์ใช้เป็นอีกหนึ่งจุดขาย ตัวพื้นรองเท้าดีไซน์ออกมาได้แบบไม่เหมือนใคร ต้องบอกก่อนเลยว่ารองเท้ารุ่นนี้ค่อนข้างมีน้ำหนักเนื่องจากทำจากหนังกลับทั้งหมด ดังนั้นทาง adidas ต้องทำพื้นออกมาให้มีน้ำหนักที่เบา การใช้เทคโนโลยีที่เรียกว่า Boost technology ซึ่งเราจะเห็นอยู่ด้านใต้ของพื้นรองเท้า (คล้ายๆเม็ดโฟมอัด) ตัวพื้นค่อนข้างรองรับน้ำหนักได้ดี ทำให้เวลาใส่เดินจะรู้สึกได้ว่าค่อนข้างนุ่มสบาย
Yeezy 350 Boost : สำหรับโมเดลตัวนี้จะมาในทรงแบบไม่หุ้มข้อ การดีไซน์ถือว่าทำออกมาได้ค่อนข้างน่าสนใจ ตรงส่วนของ Upper หยิบเอาเทคโนโลยีอย่าง Primeknit ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่ทาง adidas คิดค้น ทำให้รองเท้ามีน้ำหนักที่ค่อนข้างเบาเลยทีเดียว และยังมีลวดลายการที่เกิดจากการถักทอ ที่ดูแล้วเข้ากันได้ดีกับลายของเชือก (Rope lace) อีกหนึ่งจุดที่น่าสนใจคือทั้งส่วนของ upper นั้นมีรอยต่อเพียงจุดเดียวคือตรงกลางของรองเท้า มาถึงด้านข้างของรองเท้าด้านในจะมีหนังกลับครึ่งวงกลมเย็บติดไว้อยู่ และบนหนังกลับจะมีโลโก้ของ adidas และคำว่า YZY ตรงส่วนด้านหลังของรองเท้าจะมี Pull-tab ขนาดใหญ่พอสมควร เอาไว้ดึงช่วยในการใส่รองเท้าได้ง่ายขึ้น ส่วนของพื้น (Sole) นั้นจะเหมือนของตัว Yeezy 750 กันหมดเลยต่างกันแค่ลวดลายของพื้นรองเท้าเท่านั้น
ข้อดีและข้อเสีย
Yeezy 750 Boost : โดยรวมแล้วรองเท้าคู่นี้ทำออกมาได้ดีทีเดียว ทั้งการดีไซน์ที่ทำให้ดูแตกต่างจากที่เคยเห็นมาในรองเท้าสนีกเกอร์ การนำเทคโนโลยี Boost technology มาช่วยทำให้รองเท้าน่าใส่ขึ้นมาเยอะลยเพราะช่วยรับแรงกระแทกระหว่างเดินได้เป็นอย่างดี แต่ข้อควรระวังคือการดูแลเพราะรองเท้าใช้วัสดุอย่างหนังกลับทั้งคู่ อาจทำให้การดูแลรักษาค่อนทำได้ยาก และสีกางเกงยีนส์จะตกใส่ได้ง่าย รวมถึงรองเท้าค่อนข้างมีน้ำหนักในระดับนึง ตอนนี้ราคารองเท้าคู่นี้ค่อนข้างพุ่งขึ้นไปอย่างมากประมาณ 2500 USD + ซึ่งไม่ใช่มีแค่ใจที่ชอบเท่านั้นแต่ต้องมีทุนทรัพย์ที่มากพอด้วย แต่หากใครที่กำลังมองหารองเท้าที่แตกต่างด้วยเทคโนโลยีและการดีไซน์แล้วละก็ ไม่ควรพลาดเลยสำหรับรองเท้าคู่นี้
Yeezy 350 Boost : สำหรับรองเท้าคู่นี้ทันทีที่ปล่อยภาพออกมา ก็โดนเหล่าสนีกเกอร์เฮดหลายคนบ่นว่า แอบไปคล้ายกับรองเท้ารุ่น Roshe Run ของทาง Nike ซึ่งก็ต้องบอกตามตรงว่าแค่คล้ายกัน อันนี้แล้วแต่มุมมองของแต่ละคน ข้อดีของรองเท้าคู่นี้เลยคือมีน้ำหนักที่เบามาก เพราะด้วยเทคโนโลยี Boost และ Primeknit ทำให้เบากว่าหลายๆรุ่นในบรรดารองเท้าสนีกเกอร์ อีกอย่างที่ชอบคือรองเท้านั้นคือสามารถสวมใส่ได้เลยออกกึ่งๆทรง Slip-on รองเท้าค่อนข้างจะดูแลทำความสะอาดได้ง่ายมากกว่ารุ่น Yeezy 750 สำหรับราคาในตลาดตอนนี้อยู่ที่ประมาน 30,000 กว่าบาท และกระแสความต้องการที่ไม่มีตก ทำให้รองเท้าคู่นี้ยังไปได้อีกไกลมากเลยทีเดียวทั้งเรื่องความต้องการและราคา
Photographer : Supasin Daungkrajan