เซ็นทรัล มาร์เก็ตติ้ง (Central Marketing Group Co.,Ltd.: ) หรือ ซีเอ็มจี (CMG) กลุ่มบริษัทผู้ดำเนินธุรกิจเป็นผู้นำเข้าและตัวแทนจำหน่ายสินค้าอุปโภคบริโภคภายใต้ลิขสิทธิ์ ทั้งเสื้อผ้าแบรนด์ดังมากมาย อาทิเช่น Topshop, Carhartt Wip, Ralph Lauren และอื่นๆอีกมากมาย รวมถึงเครื่องใช้ไฟฟ้า และผลิตภัณฑ์ที่ได้รับความเชื่อถือเป็นที่ยอมรับจากผู้บริโภคทั่วโลก ซึ่งปัจจุบันถือเป็นกลุ่มแถวหน้าของประเทศ ที่ไม่หยุดนิ่งและพัฒนาไปอย่างต่อเนื่องไปยังประเทศต่างๆในแถบเอเชียทั้งประเทศมาเลเซีย, สิงคโปร์, อินโดเนเซีย, พม่า และเวียดนาม
ในครั้งนี้ทีมงาน Soul4street ได้มีโอกาสไปสัมภาษณ์พูดคุยกับคุณพิชัย จิราธิวัฒ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ ซีเอ็มจี (CMG) ซึ่งถือเป็นอีกหนึ่งผู้บริหารที่มากด้วยความรู้และประสบการณ์ และแน่นอนว่านอกจากงานหลักแล้ว ยังมีอะไรอีกหลายอย่างที่น่าสนใจและน่าติดตามไม่แพ้กันเลย
แน่นอนคนทั่วไปเป็นที่รู้กันอยู่แล้วว่าคุณพิชัย เป็นผู้บริหารของ CMG แต่เราอยากทราบว่านอกจากนี้แล้วยังมีกิจกรรมหรืออะไรด้านอื่นที่สนใจเป็นพิเศษไหมครับ
สำหรับงานหลักของเราเนี่ยมีบางอย่างที่เราอยากจะทำแต่ไม่ได้ทำ ซึ่งเป็นความชอบและเราคิดเอาไว้ตั้งแต่เด็กๆแล้ว ว่าอยากทำเพลง อยากสร้างหนัง และอีกอย่างเลย คือเป็นคนชอบทานอาหารก็เลยอยากจะทำร้านอาหารในแบบที่เราชอบด้วย ทั้งหมดมันเริ่มมาจากตรงนี้ก่อน
งั้นขอเริ่มกันที่เรื่องแรกเกี่ยวกับงานเพลง จากความชอบตรงนี้เลยทำให้เกิดค่ายเพลง SPICY DISC ใช่หรือเปล่าครับ
จริงๆแล้วตอนแรกก็ไม่ได้จะทำแต่พอมันถึงพักนึง มันถึงจุดที่ว่าวงการเพลงมันเปลี่ยนแปลง เรารู้สึกทำไมวงการเพลงมันมีค่ายใหญ่ๆอยู่แค่สองค่าย ไม่ค่อยมีทางเลือกให้สำหรับคนฟังเลยหรือเปล่า ซึ่งเราก็คิดว่าวงการเพลงไทยมันแคบดี คนส่วนมากชอบฟังเพลงป๊อป แต่พอเรามาศึกษาจริงๆก็ทำให้รู้ว่าลึกๆแล้ว มันยังมีคนอีกกลุ่มนึงชอบฟังแนวอื่นๆอย่างแนวเพลงอินดี้ ซึ่งคนกลุ่มนี้เขาจะมีความทันสมัยและความเป็นตัวของตัวเองสูง ตอนนั้นก็มีคลื่นแฟต เรดิโอขึ้นมา เราก็เลยได้ร่วมทำกิจกรรมอะไรด้วยค่อนข้างเยอะ และตอนนั้นผมก็ชอบเพลงเลยทำให้ได้รู้จักกับคนเขียนเพลงและโปรดิวเซอร์เยอะแยะ ก็ทำให้ได้รู้ว่ามีบางอย่างที่คนพวกนี้เค้าอยากทำแต่ไม่มีโอกาสได้ทำ เนื่องจากเขาอยู่กันตามค่ายใหญ่ๆ ก็ได้พูดคุยกันบอกให้เราเปิดค่ายพูดกันอยู่หลายรอบยังไงก็ไม่เปิด จนถึงวันนึงเราก้รู้สึกว่ามันถึงเวลาเราก็บอกเขาไปว่า โอเคเราทำนะแต่ขออะไรที่มันแบบกลางๆไม่สุดโต่งจนเกินไป เราก็เลยทำขึ้นมาแต่ว่าอยู่บนพื้นฐานของสิ่งที่เราชอบ อะไรที่เป็นรสนิยมของเรา
วงดนตรีหรือศิลปินคนแรกของค่ายคือศิลปินคนไหนครับ
อันแรกสุดเนี่ยที่เราทำคือวงละอองฟอง ต่อมาก็ร่วมกับพี่โต้ง-มณเฑียร แก้วกำเนิด และวง Squeeze Animal ตอนนั้นทำเป็นซิงเกิ้ลก่อน วงต่อมาก็คือ Groove Riders ซึ่งถามว่าเพลงมันเหมือนกันไหม ไม่เหมือนกันคนละอย่าง แต่ว่ามันกลุ่มคนฟังเพลงมันเป็นกลุ่มเดียวกัน มีรสนิยมที่คล้ายๆกัน และที่มันน่าตลกคือว่าศิลปินหลายๆคนที่มาอยู่ค่ายเราเนี่ย ฟังเพลงก็คล้ายกันหมดว่าง่ายๆก็คือรากฐานคล้าย แต่แตกต่างกันที่ว่าคนนี้ออกไปแนวร็อค คนนี้ออกไปแนวป็อป คนนี้ออกไปแนวโซล และตอนนั้นมีคลื่น Seed ขึ้นมาเค้าก็โปรโมทเลยไม่มีค่ายไม่มีกำแพง มันก็เลยกลายเป็นว่าเพลงพวกนี้มันกลายมาเป็นอันดับหนึ่งแทนแนวเพลงป็อป กระแสคนฟังก็เริ่มเปลี่ยนจากที่ฟังอะไรซ้ำๆแบบเดิม ก็เปลี่ยนไปกลายเป็นว่า ใครหาอะไรฟังที่แปลกๆ หรืออะไรที่ยังไม่ค่อยมีใครฟัง มันก็คล้ายๆกับวงการแฟชั่นที่เมื่อก่อนคนก็จะซื้อแต่แบรนด์เนมหัวจรดเทา ก็กลายเป็นว่าผสมผสานระหว่างของแบรนด์เนมกับของธรรมดาแทน วงการเพลงก็คล้ายกันมันก็แตกออกไปกว้างขึ้นมีความหลากหลายมากขึ้น ซึ่งพอเราทำมาเรื่อยๆก็เริ่มรู้สึกประสบผลสำเร็จในระดับนึง
การสร้างหนังก็ถือว่าเป็นอีกอย่างนึงที่ฝันมาตั้งแต่เด็ก แล้วได้ลองเริ่มทำอะไรไปบ้างครับ
หลังจากที่ค่ายเพลงเรารู้สึกว่าโอเคแล้วนะ ประสบความสำเร็จไปในระดับนึงแล้ว ก็เลยไปมองต่อสิ่งอื่นที่เราอยากทำอีก นั้นก็คือการทำหนัง ซึ่งเราก็ได้ไปลงทุนหนังประมานเรื่องสองเรื่อง สำหรับเรื่องแรกนี่ไปลงทุนทำหนังกับพี่ อาทิตย์ อัสสรัตน์ หนังชื่อเรื่องว่าไฮโซ ที่มีอนันดาร่วมแสดงด้วย หนังค่อนข้างอาร์ทมากได้ชิงรางวัลเยอะแยะ แต่ว่าไม่ค่อยประสบผลสำเร็จด้านกำไร และคราวนี้เราก็เริ่มเข้าใจแล้วว่ามันต้องสมดุลกัน เอาทั้งหนังที่นักวิจารณ์ชอบก็ได้แต่ว่าก็ต้องทำเงินได้ด้วย แล้วล่าสุดนี่ก็พึ่งลงทุนเรื่องที่สองไปแต่ว่าไม่ได้ลงทุนทั้งหมดนะ คราวนี้ทำกับพี่เป็นเอก รัตนเรือง เดี๋ยวกำลังจะออกฉายสินปีนี้ จริงๆก็อยากทำให้วงการหนังมันหลากหลาย แต่ว่าอาจจะไม่ค่อยได้ทำบ่อยนักเพราะว่าบางทีบทหนังยังไม่ค่อยโดนใจ
แล้วถ้าพูดถึงระหว่างหนังกับดนตรี ชอบอันไหนมากกว่ากันครับ
จริงๆแล้วชอบทั้งสองอย่างพอๆกัน ก็อยากจะพัฒนาวงการทั้งสองอย่างให้มันไปได้ไกลและหลากหลายมากขึ้น แต่หนังอาจจะไม่ได้ทำบ่อยเท่ากับด้านดนตรี
เราได้รับรู้ถึงสองอย่างแรกที่อยากทำกันไปแล้ว คราวนี้อยากให้บอกถึงอีกหนึ่งอย่างสุดท้ายกันบ้าง
ด้วยความที่เป็นคนชอบกิน และเราก็อยากจะหาสถานที่แฮงเอาท์ด้วย เพื่อนัดเจอเพื่อนๆหรือคนรู้จักมาเจอกันในวันศุกร์ – เสาร์ แต่ก็ไม่ชอบความวุ่นวายอย่างแบบแถวทองหล่อหรือเอกมัย ซึ่งมันก็ไม่ใช่ที่สำหรับเราแล้ว ก็เลยเริ่มเปิดร้าน CIRCLE ก่อนที่ซอยร่วมฤดีมีทั้งหมดสามชั้นด้วยกัน ตอนนั้นเนี่ยอาหารแคลิฟอร์เนีย คูซีน(California Cuisine) อาหารสไตล์ฟิวชั่นฟู๊ด ซึ่งยังไม่ค่อยมีในเมืองไทยคนไทยยังไม่รู้จักกันว่ามันคืออะไร เราก็เลยเริ่มหาสูตรอาหารแล้วก็เปิดร้านขึ้นมา แต่ทำไปทำมาเผลอแป๊ปเดียวร้านเปิดมาถึง 18 ปี
18 ปีถือว่านานมากๆสำหรับร้านอาหารร้านนึง แล้วทำไมถึงได้เปลี่ยนปรับปรุงร้านใหม่มาเป็นร้าน “Yoka Yoka” ร้านอาหารสไตล์ญี่ปุ่นแทนครับ
ก็เหมือนกับว่า 18 ปีมันก็ควรถึงเวลาเปลี่ยนบ้างแล้ว เพราะคนก็เริ่มเบื่ออาหารแบบเดิมเมนูเดิมๆที่ไม่มีอะไรใหม่ พอดีมีโอกาสได้ไปลองทานร้านอาหารญี่ปุ่นร้านนึงที่คนรู้จักได้พาไปลอง ตอนแรกก็ไม่มีได้สนใจอะไรมาก แต่พอได้ทานแล้วรู็สึกว่าเออมันแปลกจริง แตกต่างจากร้านอาหารญี่ปุ่นที่เคยได้ลองทานมาทั้งหมด เป็นอาหารสไตล์ฮากาตะซึ่งเป็นอาหารจากทางตอนใต้ของญี่ปุ่น โดยไม่ได้หากินกันได้ง่ายๆแม้กระทั่งที่ญี่ปุ่นเอง ก็เลยเป็นไอเดียในการเปลี่ยนมาเปิดร้านอาหารญี่ปุ่นแทน
อยากทราบถึงที่มาของชื่อร้าน Yoka Yoka ว่ามีความหมายยังไง
Yoka Yoka จริงๆแล้วเป็นภาษาท้องถิ่นทางใต้ของประเทศญี่ปุ่น ซึ่งมีความหมายว่า ดีงาม ซึ่งแน่นอนว่าคำนี้มันค่อนข้างที่จะตรงกับคอนเซปต์ของทางร้านเรา ที่จะนำเสนออาหารในสไตล์ฮากาตะ ซึ่งเป็นอาหารจากทางตอนใต้ของญี่ปุ่น รวมถึงเชฟก็เป็นคนพื้นเพมาจากเมืองนี้ด้วยเช่นกัน จึงรับรองได้เลยว่าลูกค้าที่มาทานอาหาร จะได้รับรู้ถึงรสชาติที่แท้จริงอย่างไม่มีผิดเพี้ยนแน่นอน และที่สำคัญทุกเมนูของร้านเราใช้วัตถุดิบที่พรีเมี่ยมนำเข้าจากประเทศญี่ปุ่น การันตรีถึงความสดใหม่ของอาหาร
นอกจากเมนูอาหารที่หลากหลายแล้ว ทางร้านยังมีบาร์สาเกไว้คอยบริการด้วยใช่ไหมครับ
ใช่ครับทางร้านยังมีสาเกบาร์ไว้คอยบริการด้วย สาเกที่เรานำมาขายนั้นทางเราติดต่อกับพวกญี่ปุ่นเองทั้งหมด เพื่อให้มีความหลากหลายและไม่ซ้ำใคร และไว้สำหรับใครที่เครียดกับงานก็สามารถแวะมาผ่อนคลายได้ ทานอาหารอร่อยๆกับสาเกรสชาติดีๆ อยากให้คล้ายกับที่นี่เป็นบ้านหลังที่สองของคนที่มา ตอนนี้วันพฤหัสกับวันศุกร์เราจะมีวงดนตรีมาเล่นเพลงในแนวแจ๊สและแนวโซล ส่วนวันเสาร์จะมีดีเจมาเปิดเพลงที่ชั้น 3 ของร้านด้วย
คุยกันมาถึงตอนนี้ ต้องบอกเลยว่า หากพูดถึงความสามารถ และความตั้งใจต่อสิ่งที่ทำแล้ว คงใช้เวลาทั้งวันพูดกันเรื่องนี้ ไม่จบ แต่หากพูดถึง ความคิด ละสิ่งที่คุณพิชัย ได้ลงมือทำนั้น เชื่อว่าคงเป็นแรงบันดาลใจให้ใครหลายๆคน ได้เห็นถึงความตั้งใจและผลของการริเริ่มต่อสิ่งต่างๆ และหลังจากที่เราสัมภาษณ์เรื่องราวในครั้งนี้ รู้สึกว่าวันนี้ได้อะไรกลับไปเยอะมากเลยทีเดียว ทางทีมงาน Soul4street ต้องขอขอบคุณที่สละเวลามาสัมภาษณ์ในครั้งนี้ด้วยครับ
สถานที่ : ร้าน Yoka Yoka
Photographer : Supasin Daungkrajan