ถ้าสังเกตกันให้ดีในช่วงปี 2014 นี้ สิ่งหนึ่งที่วนกลับมาเป็นกระแสในวงการแฟชั่นอีกครั้ง คงหนีไม่พ้นหมวก Bucket Hat ซึ่งจะเห็นได้จากกระแสจากเมืองนอกหรือแม้กระทั่งในเมืองไทยเองก็ตาม เริ่มมีคนตามหามาใส่และแบรนด์ต่างๆเริ่มผลิตหมวกในสไตล์นี้ออกมากันมากขึ้น ซึ่งในคอนเทนต์นี้เราจะพาไปรู้จักเจ้าหมวกประวัติ Bucket Hat และแนะนำถึงแนวทางในการใส่เจ้าหมวกสุดเท่ห์ที่อยู่ในกระแสหลักตอนนี้
แต่เดิมหมวก Bucket Hat ไม่ได้เป็นหมวกแฟชั่นเหมือนที่เราเห็นกันทุกวันนี้ ต้องย้อนกลับไปไปช่วงยุคเกือบ 40 – 50 ซึ่งเป็นช่วงแรกที่ใส่โดยกองทัพทหารในการสู้รบของสงครามอิสราเอล วัตถุประสงค์ก็เพื่อไว้ป้องกันจากแสงแดดอันร้อนระอุ และเจ้าหมวกนี้ถือเป็นสิ่งหนึ่งที่ขาดไม่ได้ในของพวกนักตกปลาหรือชาวประมง ด้วยปีกที่มีรอบด้านปกป้องดวงตาจากแสงแดด มาถึงในยุค 60 ภาพของหมวก Bucket Hat ได้ไปปรากฏอยู่บนละครซิทคอมเรื่อง “Gilligan’s Island”ที่รับบทนำโดย Bob Denver ที่มักจะใส่เจ้าหมวกนี้จนเป็นคาแรคเตอร์ที่คุ้นตา ซึ่งในช่วงยุค60 – 70 ปลาย หมวก Bucket Hat มักจะไปโผล่ตามจอทีวีตามซี่เรื่องต่างๆ แต่ก็ยังไม่ถึงกับเป็นระแสแฟชั่นมากมายนักแต่เริ่มเป็นที่รู้จักในวงกว้างมากขึ้น
ในปี 1979 นี่เองที่กระแสหมวก Bucket Hat ได้เริ่มเข้าสู่กระแสแฟชั่นฮิพฮอพและจากจุดนี้เองกระแสก็แรงขึ้นเรื่อยๆ เริ่มจากวงฮิพฮอพ The Sugar Hill Gang ซึ่งหนึ่งในสมาชิกของวงนั้นก็คือ Big Bank Hank ได้ใส่หมวกอัด Bucket Hat วิดีโอเพลง "Rapper's Delight" ซึ่งถือเป็นกลุ่มแรกที่เริ่มนำหมวก Bucket Hat เข้าสู่กระแสฮิพฮอพ มาถึงในช่วงยุค 80 – 90 ซึ่งต้องบอกเลยยุคนี้คือยุคทองของทั้งวัฒนธรรมฮิพฮอพ ทั้งเพลงและแฟชั่น รวมถึงเจ้าหมวก Bucket Hat นี้ด้วย ภาพที่คุ้นตาในช่วงยุคนั้นคงไม่พ้น นักร้องฮิพฮอพื่อดังอย่าง LL Cool J กับหมวก Bucket Hat จากแบรนด์ Kangol ซึ่งเรียกได้ว่าเป็นลุคที่โดดเด่นที่สุดของ LL Cool J หรือแม้กระทั่งวงฮิพฮอพในตำนานชั้นครูอย่าง Run D.M.C. และ Beastie Boys ก็คือภาพที่เราคุ้นชินตามาจนถึงทุกวันนี้ ยังไม่หมดแค่เท่านั้นนักร้องฮิพฮอพชื่อดังในยุคนั้นเรียกได้ว่าทุกคนมักจะใส่เจ้าหมวก Bucket Hat ใส่คู่กับสร้อยเส้นใหญ่ๆ เรียกได้ว่าเป็นกระแสแฟชั่นที่โด่งดังสุดขีดในยุคนั้น หลังจากช่วงยุค 2000 หมวก Bucket Hat ก็เริ่มถูกแทนที่ด้วยหมวกในสไตล์แบบหมวกเบสบอล แต่ก็ไม่ถึงกับหายไปเลยซะเดียว ยังพอมีนักร้องชื่อดังใส่อยู่บ้าง ซึ่งหลังๆมานี่กระแสแฟชั่นและนักร้องฮิพฮอพเริ่มหันไปสนใจหมวก Snapback กันมากขึ้นจนเรียกได้ว่าเป็นกระแสหลักจนนึกว่าหมวก Bucket Hat จะไม่มีทางกลับมาอีกแล้ว
แต่แล้วในปี 2013 – 2014 กระแสของหมวก Bucket Hat นั้นได้กลับมาโด่งดังอีกครั้งเรื่อยมาแต่ที่พีคที่สุดคงเป็นปีนี้ ที่เรียกได้ว่าแบรนด์เสื้อผ้าต่างๆ หันมาผลิตหมวก Bucket Hat เป็นหนึ่งในคอลเลคชั่นกันมากขึ้นกว่าเดิม และผู้คนเริ่มให้ความสนใจและกลับมาอยู่ในกระแสหลักอีกครั้ง ซึ่งเราจะเห็นได้จากทั้งในหนังสือแม็คกาซีนแฟชัน บนจอทีวีหรือตามมิวสิคVDO และนี่ก็คือประวัติและความเป็นมาของหมวก Bucket Hat
คราวนี้มาถึงสำหรับคนที่เริ่มสนใจแต่ยังไม่มั่นใจว่าจะใส่ออกมาดูดีเหมือนที่คิดหรือเปล่า เอาเป็นว่าเริ่มจากอย่างแรกเลยต้องคำนึงถึง Size ของหมวกก่อนซึ่งส่วนมากพวกแบรนด์ต่างๆจะผลิตมา 2 Size นั่นก็คือ S/M และ L/XL อย่างแรกให้แนะนำไปลองใส่ก่อนตามร้านที่มีจำหน่ายว่า Size ไหนเหมาะกับหัวของคุณ ข้อต่อไปถ้าคุณยังไม่มั่นใจพอ ขอแนะนำเลือกที่ออกแนวเรียบๆเป็นสีพื้นอย่างเช่น สีขาว สีดำ สีกรมท่า ฯลฯไปก่อนซึ่งยังไงก็ยังสามารถนำไป Mix & Match กับเสื้อผ้าได้ง่ายกว่า ในครั้งแรกๆอาจจะยังไม่คุ้นชินตาอาจจะรู้สึกเขิลบ้างเวลาใส่ แต่ถ้าคุณเริ่มปรับตัวได้คุ้นกับมันแล้ว เริ่มมีความมั่นใจแล้วละก็ ขอแนะนำหมวกที่เริ่มมีลูกเล่นแพทเทิร์นต่างๆทั้ง ลายคาโม่ ลายที่แบบสีจี๊ดๆ โดนใจ อย่าลืมสิ่งหนึ่งนั้นก็คือความมั่นใจที่ทุกคนต้องมี เพราะถ้าต่อให้หมวกสวยเพียงใด คุณไม่มีความมั่นใจในการใส่มันก็ออกมาดูไม่ดีทั้งนั้น
ข้อต่อไปแนะนำการใส่นั้นมีอยู่หลากหลาย ซึ่งข้อดีคือหมวกทรงนี้คือลูกเล่นที่คุณสามารถดัดแปลงเองได้ เพราะปีกหมวกนั้นสามารถพับได้ เพื่อนๆบางคนอาจจะใส่แบบปกติ ถ้าต้องการความแตกต่างหน่อย อาจจะพับเฉพาะด้านหน้าหมวกก็เท่ห์ไม่ซ้ำใคร หรือจะพับปีกหมวกรอบทั้งใบเลยก็ได้ ก็จะได้สไตล์ไปอีกแบบนึง ใครที่ชอบใส่สไตล์แบบปกติออกแนวโอลสคูลหน่อย ก็อาจจะใส่หมวกปิดมาอยู่เหนือคิ้วให้มันได้ฟิวแบบฮิพฮอพในสมัยก่อน หรืออีกแบบก็อาจจะใส่หมวกสูงขึ้นมาหน่อยโชว์ผมปาดให้มันดูออกไปแนวแฟชั่นนิดหน่อยก็ไม่เสียหาย ข้อดีของหมวก Bucket Hat อีกอย่างก็คือใส่ได้ทั้งผู้หญิงและผู้ชายไม่จำกัดเพศ ขอให้พกความมั่นใจและหมวกที่เหมาะกับคุณสักใบแค่นี้ก็พอแล้ว
ก็จบกันไปแล้วสำหรับประวัติคร่าวๆและวิธีใส่เจ้าหมวก Bucket Hat ที่กำลังเป็นกระแสอยู่ตอนนี้ สำหรับใครที่ยังไม่มีอย่ารอช้า ยิ่งตอนนี้ในบ้านเรามีหลายแบรนด์และร้านค้าหลายร้าน นำมาให้เลือกซื้อเรียกได้ว่าเยอะแบบจุใจ ซึ่งราคาก็มีตั้งแต่หลักร้อยจนถึงหลักพัน ย้ำอีกทีว่าควรเลือก Size และสไตล์ให้เหมาะกับตัวเองอย่าซื้อเพราะเห็นคนอื่นใส่แล้วดูดี สำหรับคอนเทนต์นี้คงจบเพียงเท่านี้ แล้วเจอกันใหม่ในคอนเทนต์หน้า