อีกหนึ่งศิลปินรุ่นใหม่ที่มาพร้อมกับความชัดเจนของผลงานที่ต้องการสะท้อนปัญหาที่เกิดขึ้นในสังคมไทยยุคปัจจุบัน ซึ่งผลงานของเค้าที่แสดงผ่านคาแรคเตอร์ตัวการ์ตูนแทรกลงไปกับเรื่องราวของภาพต่างๆที่มีความหมาย จุดเริ่มต้นของเค้ากับการโชว์ผลงาน Exhibition ที่ได้สร้างสรรค์เพื่อต้องการเตือนสติผู้คนในสังคมเกี่ยวกับเรื่องราวต่างๆว่าจงอย่าได้ลืมหรือชินชากับเรื่องราวเหล่านั้นไป วันนี้เราขอนำทุกท่านไปรู้จักกับ October29 เจ้าของผลงานและคาแรคเตอร์ "What The Fuck" ที่เปรียบเสมือนเป็นตัวแทนของศิลปินที่ต้องการบอกเล่าเรื่องราวต่างๆเหล่านั้น
แนะนำตัวพร้อมประวัติเล็กๆน้อยๆให้เราได้รู้จักกันหน่อยครับ
ชื่อ แพน ฐกฤต ครุฑพุ่ม ชื่อที่ใช้ในการทำงานคือ October 29 ครับ ความหมายของ October 29 คือเป็นวันและเดือนเกิดของผมเอง เลยนำชื่อนี้มาเป็นชื่อในการทำงาน
ตัวคาแรคเตอร์ของ October29 มีที่มาที่ไปยังไง
คือปกติทำงาน street art ออกไปทำตามที่ต่างๆ ส่วนตัวแล้วชอบล้อเลียนกับสถานที่ ก็เลยอยากมีตัวอะไรเข้าไปเล่นกับพื้นที่ตรงนั้น เลยสร้างคาแรคเตอร์เพื่อมาแทนตัวเองครับ ส่วนเจ้าตัวคาแรคเตอร์นี้มีชื่อว่า What The Fuck มันมาจากว่า มีคนมาถามว่ามันคือตัวอะไร ในตอนแรกผมก็ไม่ได้คิดชื่อ แล้วมันคือตัวอะไรวะ ( หัวเราะ) ผมเลยบอกไปว่า What The Fuck ก็เลยใช้ชื่อนี้มาตั้งแต่วันนั้นครับ
เริ่มทำงานศิลปะมาตั้งแต่เมื่อไร
จริงๆถ้าวาดรูปผมวาดมาตลอด เพราะเรียนจบมาทางด้านนี้โดยตรง แต่มาเริ่มทำงาน Street art โดยตรงจริงๆเลยก็ประมาณสองปีได้แล้วครับ ซึ่งตัวคาแรคเตอร์นี้ก็เกิดมาพร้อมกับการที่เริ่มทำงาน Street art ก็สองปีได้ครับ
นี่เป็นงาน Exhibition ครั้งแรกของ October29 หรือเปล่า
นี่เป็นงาน Exhibition ที่แสดงผลงานของผมคนเดียวเป็นครั้งแรกครับ ก่อนหน้านี้จะเป็นงาน Exhibition ร่วมกับเพื่อนๆ
สไตล์งานของ October29 เป็นอย่างไร
สไตล์ของผมนั้นจะเป็น Pop art ซึ่งผลงานของผมหลักๆแล้วจะเป็นงานที่เสียดสีสังคม สะท้อนสังคมเสียเป็นส่วนใหญ่ เราใช้ตัวการ์ตูนเข้ามาเป็นตัวแทนให้มันดูเสพและเข้าใจได้ง่ายไปพร้อมกับดูขบขันมากขึ้น แต่จริงๆเนื้อเรื่องของงานผมค่อนข้างจะดาร์คมากๆหน่อย เสียดสีสังคม
ถ้าจะให้พูดถึงเรื่องสังคมไทยในปัจจุบันตอนนี้ คิดยังไงบ้าง
ถ้าพูดถึงเรื่องสังคมไทยในตอนนี้ผมได้ถ่ายทอดเรื่องราวและความคิดทั้งหมดลงในงานแสดงครั้งนี้ เรื่องราวปัญหาบางอย่างเราอาจจะลืมมันไปกันแล้วหรือเราเจอกับปัญหานั้นจนชินชากันไป จนเรารู้สึกกลมกลืนไปกับปัญหานั้นแต่ความเป็นจริงปัญหานั้นมันยังคงอยู่ อยู่กับเราทุกวันแต่เราแกล้งลืมหรือชินชาจนลืมไป งานของผมที่ถ่ายทอดในครั้งนี้จึงสื่ออกมาให้กระตุ้นว่าปัญหาอันนี้เป็นปัญหาใกล้ตัวที่ยังอยู่นะ เราลืมมันไปหรือเปล่า
ศิลปะมีส่วนสำคัญกับการเมืองยังไงบ้าง
ศิลปะผมว่ามันเป็นการแสดงออกอย่างนึงเพื่อให้คนคิด เหมือนคำถามปายเปิดเพื่อให้คนคิดตาม คนที่แสดงงานอาร์ทก็คือสร้างสรรค์ผลงานสะท้อนสั้งคมเพื่อให้ผู้คนรับรู้ แล้วก็นำไปคิดต่อ เหมือนเป็นจดหมายเหตุที่บอกเรื่องราวของสังคมในยุคนั้นเอาไว้
ผลที่เราคาดหวังจากการที่เราสร้างผลงานไปแล้ว เราหวังให้ผู้ที่ได้รับชมหรือคนที่เห็นงานของเรารู้สึกอย่างไรบ้าง
จริงๆถ้าคนที่ได้เห็นแล้วดูในตอนแรกอาจจะขำๆกับภาพและตัวคาแรคเตอร์ แต่ถ้าเมื่อเค้าดูและคิดถึงองค์ประกอบทั้งหมดในรูปนั้นๆแล้วมันจะทำให้เค้าคิดได้เลยว่า เฮ้ยเรื่องราวนี้เราลืมมันไปแล้วนี่หว่า ปัญหานี้มันเกิดขึ้นอยู่นี่หว่า คืออยากจะเตือนสติเค้าว่าปัญหานั้นยังคงอยู่นะ ผมแค่หวังว่าผลงานของผมที่แสดงออกไปนั้นจะคอยเตือนสติพวกเราว่าอย่าลืมปัญหาแย่ๆนั้นแล้วช่วยกันแก้ไข สามัคคีกัน รักกันอย่างที่เคยเป็น
ในอนาคตต่อจากนี้อยากทำอะไรที่ยังไม่ได้ทำอีกบ้าง
ในอนาคตผมก็ยังคงทำงาน Street art ต่อไปเพื่อให้บ้านเราเปิดรับงานศิลปะในรูปแบบนี้มากขึ้น เหมือนกับทางยุโรปและในต่างประเทศที่เค้ายอมรับ อยากให้คนไทยยอมรับและเข้าใจว่ามันไม่ใช่ขยะ มันคืองานจิตรกรรมชิ้นหนึ่ง ซึ่งการแสดงผลงานในปัจจุบันไม่ใช่อยู่กับผืนผ้าใบในห้องอีกต่อไปแล้ว ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ต้องขึ้นอยู่กับตัวศิลปินเองด้วยว่าจะช่วยกันยกระดับฝีมือและผลงานเพื่อสื่อให้คนภายนอกเค้ารู้สึกยอมรับหรือไม่ เราไปสร้างความเดือดร้อนให้เค้ามั๊ย อนาคตอยากให้ผู้สร้างผลงานศิลปะช่วยๆกัน ศิลปะแขนงนี้จะได้รับการยอมรับมากขึ้น
ถ้าวันนึงเราสร้างผลงานไว้บนสถานที่แห่งนึงแล้ววันรุ่งขึ้นมีคนมาบอมบ์ทับผลงานของเรา เราจะรู้สึกยังไง
ผมว่าเราต้องเตรียมใจเอาไว้ตั้งแต่วันแรกที่เราจะทำแล้วล่ะ ถ้าเราทำในสถานที่เปิด ใครก็ทำได้ เราก็ทับเค้าได้ เค้าก็ทับเราได้ แต่ผมว่าเราควรจะดูด้วยว่าเค้าทับเราแบบไหน ถ้าเค้ามาทับงานเราแต่ฝีมือเค้าเจ๋งจริงๆ ผมว่ามันเหมือนเป็นแรงผลักดันให้เรายิ่งต้องพัฒนาตนเองให้ดีขึ้นไปอีกเพื่อที่จะมาทับงานเราคืน เหมือนเป็นการต่อยอดการพัฒนาฝีมือกันไป แต่ถ้าถูกทับโดยงานที่แย่ๆ มันก็ต้องรู้สึกแย่แน่นอน
นอกจากจะทำงาน Street art แล้ว ในอนาคตจะมีการทำเสื้อผ้า Streetwear บ้างมั๊ย
ตอนนี้ก็เริ่มมีแบรนด์เสื้อผ้ามาติดต่อไปทำบ้าง ผมเคยคิดไว้ว่าอยากจะทำเสื้อผ้าเหมือนกันแต่คงเป็นในลวดลายที่เป็นงาน art มากๆหน่อย เพราะถ้าเราแสดงผลงานใน Gallery หรือตามสถานที่ทั่วไป ผู้คนคงจะเห็นงานของเราน้อย แต่ถ้าเรานำมันมาใส่ไว้บนเสื้อที่คนใส่ ก็จะยิ่งเพิ่มคนที่เห็นงานของเราได้มากขึ้นไปอีก
ตอนนี้คิดว่าสุดหรือยังกับการทำงานศิลปะ
บอกตรงๆเลย ยังไม่สุดครับ (หัวเราะ) ผมรู้สึกว่าผมแค่เพิ่งเริ่มซะด้วยซ้ำ ส่วนตัวผมเองเรียนจิตรกรรมมาและมาเรียนนิเทศศิลป์ต่อ เหมือนกับว่าเราได้ความเป็น Pure art และ Commercial เราเลยอยากเอามารวมกัน ให้ความเป็น art มันขายได้จะทำยังไง ก็เลยรู้สึกมันไม่สุดมันแค่เริ่ม อยากให้งานที่เราสร้างหยิบจับได้ง่ายไม่ใช่อยู่แค่บนเฟรม และต้องสร้างรายได้ที่สามรถเลี้ยงตัวเองได้เพื่อมีทุนในการทำงานชิ้นต่อๆไป
ผลตอบรับในปัจจุบันเป็นอย่างไรบ้าง
หลังจากที่เราทำงานมาอย่างจริงจังตลอดเรื่อยๆก็มีคนรู้จักเรามากขึ้น มีให้กำลังใจ มีติชม ซึ่งรู้สึกดีมากๆครับ
กับประโยคของคนรุ่นเก่าที่ว่า “เรียนศิลปะจบไปจะทำอะไรกิน” เราในฐานะคนรุ่นปัจจุบันอยากจะบอกอะไรกับคนรุ่นเก่าเหล่านั้น
ผมว่าที่เค้าคิดว่าจนเพราะว่าเค้าคิดว่ามันเป็นการวาดรูปที่มันตันอยู่กับที่ คิดว่าจบมาจะมานั่งวาดรูปตามตลาดนัดขายหรอ แต่ศิลปะยุคใหม่มันเจ๋งขึ้น เราสามารถ Creative มากขึ้น คิดต่อยอดจากงานที่มันจะจบลงบนกระดาษ ต่อยอดมันออกมาเป็นงานเสื้อผ้าหรือ Product อื่นๆได้อีกมากมาย คนรุ่นเก่าเค้าคงติดภาพกับอะไรเดิมๆแค่กระดาษ การวาดภาพเหมือน Drawing Portrait แต่จริงๆแล้วศิลปะมันเป็นพื้นฐานของการใช้ชีวิตเลย เราไม่จำเป็นต้องวาดรูปก็ได้ แต่เราสามารถเราเอาไปใช้ชีวิตประจำวันของเราก็ได้ ซึ่ง Artist ในปัจจุบันถือว่ามีรายได้สูงและรวยมากๆด้วย
อยากฝากอะไรถึงคนที่ติดตามงานของเรารวมทั้งคนที่กำลังอยากทำผลงาน street art บ้าง
อยากให้ช่วยกันผลักดันวงการศิลปะของบ้านเรา เด็กๆ น้องๆรุ่นใหม่ ถ้าอยากทำอะไรจงลงมือทำเลยไม่ต้องกลัว ถ้าคิดว่าอยากเป็นอะไรก็ลงมือทำ ถ้าไม่ลงมือทำมันก็จะเป็นคำถามติดอยู่ในหัวเราไปตลอดชีวิตว่าทำไมเราถึงไม่ทำ เพราะฉะนั้นอยากทำอะไรลงมือทำ ผลมันจะออกมาเป็นอย่างไรก็แล้วแต่เราก็จะได้รู้ว่าเราลงมือทำมันไปอย่างที่เราต้องการแล้ว เราอาจจะโดนพูดกรอกหูมาตลอดว่า “เรียนศิลปะจบไปจะทำอะไรกินวะ” ซึ่งคำพูดของคนเหล่านั้นอย่าไปสนใจ ขอให้ดูผมเป็นตัวอย่าง ปัจจุบันผมเลี้ยงชีพด้วยงานศิลปะเพียงอย่างเดียวเลย ซึ่งมันก็อยู่ได้ และอยู่ได้อย่างโอเคมากๆ เพราะว่ามันมีทั้งข้อดีและข้อเสียคือ ไอ้คำพูดของคนรุ่นเก่าๆเนี่ยแหละเลยทำให้คนกลัวทำงานศิลปะ เมื่อคนทำน้อย คู่แข่งก็น้อย แต่ผมอยากให้คนมาทำงานศิลปะกันเยอะๆเพราะยิ่งมีคนทำเยอะก็จะยิ่งช่วยผลักดันวงการนี้ยกระดับมากขึ้น รุ่นพี่ก็จะช่วยรุ่นน้องต่อๆไปเป็นลูกโซ่
Photographer : Krirakrit Worawetkulsage
Location : Sneaka Villa*