Soul4Street Interview : เหนือ จักรกฤษณ์ อนันตกุล กราฟฟิคดีไซค์และนักออกแบบที่ฝากผลงานไว้ทั้งในประเทศและต่างประเทศมากมาย

กลับมาอีกครั้งกับ Soul4street Interview ซึ่งคราวนี้ได้มีโอกาสไปสัมภาณณ์กับ คุณจักรกฤษณ์ อนันตกุล หรือพี่เหนือ กราฟฟิคดีไซค์ illustrator และผู้ก่อตั้ง Design Reform Council ในปี 2005 และ Hello I am JK ในปี 2014 นี้อีกด้วย ซึ่งปัจจุบันนี้ได้มีผลงานอีกมากมายที่แสดงไปทั่วโลกแล้ว เช่น Kult3d ที่ประเทศสิงค์โปร , Ubiesและ Uniqloที่ประเทศญี่ปุ่น ,Desktop magazine ที่ประเทศออสเตเลีย และ Monocle ที่ประเทศอังกฤษ ในครั้งนี้เราได้ไปเยือนงาน Happy blue Exhibition ของพี่เหนือ เลยเก็บเอาบทสัมภาษณ์มาฝากพี่น้องชาว Soul4street มาให้อ่านกันครับ

Q :ช่วยแนะนำตัวหน่อยคะ?
A :ผม จักรกฤษณ์ อนันตกุลนะครับ ชื่อเล่นชื่อเหนือ เป็นคนเหนือ เป็นกราฟฟิคดีไซค์เนอร์ แล้วก็เป็นอาจารย์พิเศษสอนที่ ม.กรุงเทพ กับ ม.รังสิตแล้วก็ตอนนี้มีสตูดิโอชื่อ “Hello I’m JK”

Q :แล้วที่บอกว่ามีสตูดิโอของตัวเอง แล้วทำไมงาน Exhibition งานนี้ถึงมาจัดสตูดิโอของคนอื่นล่ะคะ?
A :ก็จริงๆแล้วสตูดิโอนั้นเป็นที่วาดภาพของผมมากกว่าครับ ก็เอาไว้ทำงานอะครับ 

Q :แต่งานครั้งนี้ดูจะเหมือนแตกต่างจากครั้งที่แล้วนิดนึงรึเปล่าคะ ? 
A : ครับ ใช่ครับ ก็จะเป็นคล้ายๆการทดลองใหม่ด้วยแหละครับ เพราะมันก็มีเรื่องอะไรต่างๆนาๆเข้ามา ที่มีทั้งดีด้วยและไม่ดี พอที่นี่เค้าชวนมาก็ค่อยๆเก็บงานของตัวเอง ส่วนภาพพวกนี้ก็จะเหมือนเป็นการระบายความรู้สึกของตัวเอง บางอันก็จะเห็นว่าเป็นคำสบท เราก็ทำงานที่เป็น commercial งานที่มันสื่อสารทุกคน เมื่อก่อนเราก็เขียนงานที่มันหดหู่ คนที่เค้าดูก็รู้สึกหดหู่ เราก็หดหู่ เราอยากให้งานมันเหมือนการรักษาตัวเอง พอเวลาเขียนมันช้าลง มันก็ทำให้เราใจเย็นลง  เหมือนเราละลายทางที่มันเป็นด้านลบ เสร็จแล้วมันก็แสดงออกมาเป็นด้านบวก

Q :แล้วปกติวาดรูปก็เป็นการระบายความเครียดด้วยรึเปล่าคะ ?
A : ครับ ก็จะมีสมุดบันทึกไว้เขียนเรื่องราวด้วยเหมือนตัวนี้ก็จะเป็นคิงคองแบบโกรธอยู่ ฮ่าๆๆ

Q :แล้วก่อนหน้าเคยทำงาน Collabกับคนอื่นๆไหมคะ?
A:มีแต่ทำงานเพลงครับ ทำดนตรี ทำซาวน์ แล้วก็ทำต่อด้วย mv เล่นๆครับ ตอนสมัยวัยรุ่นน่ะครับ แล้วเพื่อนชาวออสที่รู้จักกันก็ช่วย mixed ใหม่ พอเราทำเพลง เราอยากทำ mv เราก็ทำ mv ก็เคยทำให้ small room ขึ้นมาก็แบบเหมือนเราทำงานที่มันเล่นๆ คนเห็นก็เลยทำต่อไปเรื่อยๆ

Q :แล้วทำไมทำงานเพลงแล้วถึงเป็นกราฟฟิคเต็มตัวเลยล่ะคะ ?        
A :คือตอนเราเรียนจบแล้ว ได้ทำงานกับด๊อคสโตวร์ แล้วเค้าเห็นงานเราก็เลยชอบ พอเรียนจบแล้วก็ชวนเรามาทำ คือตอนนั้นเราก็ทำพวกงานคอราดอยู่ แต่แบบรู้สึกว่ายังจัดการไม่ค่อยดี ก็เลยรู้ว่ากราฟฟิคดีไซค์มันคือการเข้าไปช่วยจัดการที่มันมีอยู่ให้ดี ก็เลยเริ่มชอบกราฟฟิคขึ้นมา

Q :แล้วทำไมถึงอยู่ดีๆมีความคิดว่าจะออกพวก typeprographyดีกว่าละคะ?
A : เพราะคิดว่ามันจะมา ตอนนั้นคิดว่า typedesignมันยาก ก็เลยเริ่มเขียนหนังสือ A,B,C จนได้ 800 กว่าตัว เลยขายไปหมดเลย พอทำเราก้ทำพรีเซ้นโปรดักซ์ของตัวเอง เลยคิดว่าตัวหนังสือมันก็มิ๊กซ์กันได้ เออมันก็สนุกอย่างที่คิดนะ มันก็สามารถเอาไปเสริมพวกกราฟฟิคดีไซค์เนอร์ได้ ตัวหนังสือมันไม่ต้องเป็นชุดก็ได้ มันอยู่ที่การเลือกนำไปใช้ มันเลยทำให้เราทำงานแบบสนุกมากขึ้น พอทำไปเรื่อยๆ มันก็เกิด feed back กลับมา เราได้งานจากเมืองนอก เพราะจากที่เราทำฟร้อนออกไปขาย แล้วเค้าก็เห็น presentation ของเรา เค้าก็เลยให้เราทำโปรดักซ์ให้เค้า แล้วมันก็มีงานมาเรื่อยๆ ทำให้มีโอกาสเข้ามาเรื่อยๆ เราก็ขยันที่เราจะทำงานส่วนตัวออกมาเรื่อยๆ เพราะเราก็ยังมีเวลาของเราในการทำงานอื่นให้ลูกค้าด้วยครับ

Q :แล้วกว่าที่จะเลิกทำงานตรงนั้นแล้วมารับงานตรงนี้นี่นานเท่าไรคะ ?
A : 4 ปีครับ ก็เริ่มรับงานตั้งแต่ปีที่ 2 ก็เลยมีคนจำได้ แต่เค้าไม่คิดว่าเราเป็นคนไทย คิดว่าเราเป็นอเมริกัน 

Q :แล้วทำไมถึงคิดจะมาทำงานนี้เต็มตัวละคะ ?
A :เราคิดว่ามันอิ่มตัว คือเราเรียนรู้ ช่วงเวลาที่สนุกเราคิดว่าเป็นปีแรก เพราะหลังจากนั้นมันเริ่มเป็น Bussinessมากขึ้น เราก็รู้สึกไม่ค่อยชอบ ให้เกียรติพนักงานน้อยลง มันไม่ค่อยแฟร์ เราอายุมากขึ้น มันก็ต้องใช้ค่าใช้จ่ายมากขึ้น เราเลยคิดว่าออกมาทำเองก็ได้ ก็เลยมีจุดเปลี่ยน ก็เลยลองดู ทำ4 ปีทุกวัน มันทำงานซ้ำๆ ก็เลยคิดว่าออกมาละกัน

Q :แล้วออกมาทำคนเดียวแล้วรู้สึกยังไง รู้สึกแปลกไหม?
A :คือรู้สึกว่าโชคดีที่อยากจะมีคนทำงานกับเราด้วย ก็มีคนเข้ามาเต็มเลย พอจะรู้จักกับใครบ้าง พอมีคนรู้งานเราบ้าง เลยทำให้พอไปได้ครับ แล้วก็เริ่มทำงานกับคนไทย แต่ก็ต้องจูนกับเค้าอยู่ดี เพราะก็ต้องคุยกับลูกค้า ก็ต้องค่อยๆปรับไป 

Q :เคยทำให้ monocle ด้วยใช่ไหมคะ ?

A :เค้าติดต่อมาทางอีเมลล์ เค้าก็อยากใช้ดีไซค์เนอร์ที่อยู่เมืองไทย ก็เลยแชร์อะไรให้เค้าดู มันเป็น lifestyle คือเราว่าทำงานเมืองนอกมันก็ดี มันก็เป็นโอกาสที่ดีด้วย 

Q :แล้วทำไมถึงคิดว่าเมืองไทยขายงานแบบนี้ยาก เมืองไทยไม่ชอบงานแบบนี้หรอคะ?
A : จริงๆเราอาจจะคิดว่าตัวเรา เราอาจจะแบบไม่ใช่คนที่เข้าไปหาใคร หรือหยิ่งอะไร เราไม่มีเวลา ฮ่าๆ เราก็อยากให้คนไทยรู้จักเหมือนกัน เพราะว่าอยู่เมืองไทยเราก็อยากจะทำงานกับคนไทยเหมือนกันนะ เพราะว่าเราก็ว่างานดีไซค์มันสร้างสภาพแวดล้อม เราอาจจะเห็นว่ามันเล็กน้อย มันอาจจะดูไม่ค่อยสำคัญอะไร แต่ความรู้สึกเรามันก็คือ Culture อะครับ คือฝรั่งเวลาเค้ามองสิ่งนี้ เค้าก็จะจำว่านี่คือของไทย culture เมืองไทย อะไรประมาณนี้ เราก็อยากทำงานแบบ ให้คนเค้ามีภาพจำเมืองไทยบ้าง เพราะ direction ก็พอคนนี้ดังก็ตามไป เราก็อยากให้เห็น direction อื่นๆด้วย 

Q :ตอนนี้พี่เหนือคิดว่าเมืองไทยมี direction เป็นแบบไหน ไปในทางไหนคะ?
A :ตอนนี้มันเหมือนจะเป็น street art นะ ฝรั่งมาก็คิดว่าเป็น street art แต่จริงๆแล้วมันไม่ใช่ เรามองนะว่าคนไทยก็เสพงานต่างประเทศเยอะนะ แต่สุดท้ายเราก็ไม่สามารถที่จะเป็น master ตามculture เค้าไม่ได้เหมือนอยู่ดี มันเลยแบบว่า ถ้ามันพัฒนาได้ก็ดี เราอาจจะคิดใหญ่ แต่ก็ยังมีความหวังอยู่ดี ถ้ารวมพวกกราฟฟิค ช่างภาพ มารวมกันได้ก็ดี เราว่านะ หรืออาจจะไม่คิดใหญ่มาก เราก็ทำงานเรื่อยๆ 

Q :คืออยากเป็นครูมาตั้งนานแล้วเปล่าคะ แล้วทำไมไม่เลือกอาชีพครูเลย แล้วค่อยทำงานนู้นงานนี้? 

A : อยากมานานแล้วครับ อยากเริ่มตอนที่มีแรงอยู่ ก็อยากทำอย่างอื่นก่อนด้วย สะสมประสบการณ์ พอได้เป็นครู ก็ทำให้ช้าลงเหมือนกัน ถึงเวลาที่ไปสอนเราก็ทบทวน ทำให้เราพัฒนาทักษะ สามารถสอนนักเรียนได้ มันเหมือนได้เรียนรู้ทำให้เราสอนได้ และได้เรียนรู้จากศิษย์ด้วย แบบคนที่จบใหม่ก็เหมือนแบบพลังเยอะ แต่ยังคอนโทรล์พลังไม่ได้ ยังไม่รู้ว่า direction ของตัวเองจะไปทางไหน พอถึงจุดนึง พอนึกได้ละ มันจะตอบโจทย์ของเป้าหมาย แล้วพลังมันจะน้อยลง พอผ่านไปก็จะคุม direction อย่างเดียวละ แล้วเหมือนเราน่ะก็ต้องถ่ายทอดวิชาให้เค้า คอนโทรล์พลังงานของเค้า พวกเด็กใหม่ๆจะมี direction แบบเด็กคนนี้มันเจ๋งนะ เราก็สอนเค้า มันก็ดีกว่าเวลาทำงานนะ

Q :งั้นเดี้ยวให้เลือกมารูปนึง ที่คิดว่าเจ๋งสุด เด็ดสุด ใน exhibition นี้เลย ?

A :ฮ่าๆ ยากเนอะงั้นอันนี้ละกัน เพราะปกติเราจะเขียนด้วย A4 แต่นี้เราทดลองเขียนอันใหญ่สุด แล้วดีเทลน่าจะเยอะสุดครับ

Q :แล้วทำไมถึงเลือกอันที่เป็นซาฟาลีเวิลล์ สัตว์ล่ะ ?

A :มันเหมือนอะไรที่อยู่ในใจอะ การเป็นคาแรคเตอร์มันซ่อนอยู่ในธรรมชาติ มันเป็นช่วงตอนที่ย้ายที่อยู่ด้วย แล้วแถบนั้นจะเป็นสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนไป มีพุ่มไม้ เป็นคล้ายๆแบบนี้ เลยเป็น insprirationจากที่นี่

Q :แล้วสำหรับงานที่วาดในจานคืออะไรอะคะ ?
A : ก็เหมือนจานที่คนมาให้เพ้นท์ให้ เราก็รู้สึก เออ มันสนุกดี มันเป็นอะไรที่แบบใกล้ตัวคน ก็มาเพ้นท์เลย อีกหน่อยเราก็อยากจะพัฒนาให้เป็นโปรดักซ์ ก็เริ่มสนใจจะทำธุรกิจ เพราะว่าพอเราทำงานมา เราก็อยากให้มันไปทำงานให้เราบ้าง ตอนทำงานประจำก็ทำให้เรารู้ว่าสินทรัพย์ ทรัพย์สิน หนี้สินมันเป็นยังไง ทำให้เราเริ่มสนใจธุรกิจ แต่ว่าธุรกิจส่วนใหญ่มันก็อสังหาริมทรัพย์ แต่เราไม่ได้มีทุนเยอะขนาดนั้น ทีนี้เราก็ใช้ได้เพียงทรัพย์สินทางปัญญา เราก็คิดว่ามันต้องหาวิธีการที่เราเอาไปลงแล้วมันสามารถทำงานให้เรา มันอาจจะไม่เวิคก็ได้ บางทีคนอาจเข้าถึงเราถ้ามันไปอยู่บนโปรดักซ์ก็ได้ 

Q :essential ของใช้ประจำวันนี่มีอะไรบ้าง?
A :ipadไว้พรีเซ้นงาน, ดินสอ,มีสมุดจด (จดตารางเวลา,จดไอเดีย), แว่นตา, กล่องดินสอ, โทรศัพท์มือถือ, กระเป๋าตังค์ หรือบางทีก็มีหนังสือไว้อ่านเล่นครับ

Interview : Supatchaya Kaewla-iad

Photographer : Krirakrit Worawetkulsage

 

 

Share:
On Key

Related Posts

WATCHA GONNA ดู

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • คุกกี้ที่จำเป็น
    Always Active

    ประเภทของคุกกี้มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้ได้อย่างเป็นปกติ และเข้าชมเว็บไซต์ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้

  • คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์

    คุกกี้ประเภทนี้จะทำการเก็บข้อมูลการใช้งานเว็บไซต์ของคุณ เพื่อเป็นประโยชน์ในการวัดผล ปรับปรุง และพัฒนาประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ ถ้าหากท่านไม่ยินยอม ให้เราใช้คุกกี้นี้ เราจะไม่สามารถวัดผล ปรับปรุงและพัฒนาเว็บไซต์ได้

Save