วงดนตรีอินดี้น้อยคนนักที่จะไม่รู้จักวงอพาร์ทเม้นท์คุณป้า ที่ได้ผ่านร้อนผ่านหนาว ถ่ายทอดเรื่องราวของพวกเค้ามาจนครบสิบสามปีในปีนี้แล้ว และทางวงจะมีคอนเสิร์ตใหญ่ในปลายปีนี้ ซึ่งเราได้มีโอกาศสัมภาษณ์บุคคลที่เป็นสัญลักษณ์ของวงและนักร้องนำ ตุล ไวทูรเกียรต หรือ ตุล อพาร์ทเม้นท์คุณป้า เกี่ยวกับเรื่องราวการใช้ชีวิตและเสียงดนตรีเพื่อเป็นแรงบันดาลใจให้กับคนรุ่นใหม่ๆได้นำไปเป็นแนวทางและแบบอย่างต่อไป
ดนตรีเริ่มมีอิทธิพลต่อชีวิตเมื่อไร
เท่าที่รู้สึกได้จริงๆ ดนตรีเริ่มมีอิทธิพลต่อผมเริ่มครั้งแรกในช่วงเรียนมัธยม เพราะว่าวัยรุ่นเป็นวัยที่ต้องการความโหยหาความสุขในบางอย่าง บางคนก็เล่นกีฬา บางคนก็ฟังเพลง บางคนก็ศิลปะ มันเป็นช่วงเวลาที่ต้องไขว่คว้าอะไรบางอย่าง ของวัยรุ่น ส่วนตัวผมเองเลือกที่จะหยิบจับดนตรี เพราะรู้สึกว่าเวลาได้ฟังเพลงมันทำให้เราอยู่ในกรอบ ชีวิตวัยรุ่นเมื่อก่อนมันก็มีแค่โรงเรียน พอเวลาได้ฟังเพลงทำให้เราเกิดจินตนาการของโลกภายนอก พอเราเห็นภาพนักดนตรีตอนนั้นเราเห็นว่าเค้าเป็นพระเจ้าในตอนนั้น เหนือธรรมชาติ เห็นเค้าเล่นกีต้าร์เร็วๆตีกลองมันส์ๆ ทำให้เรารู้สึกอินกับตรงนั้น นี่คือจุดเริ่มแรกที่ทำให้เราสนใจเรื่องดนตรี
หลังจากนั้นพี่เริ่มฟังดนตรีจริงจังได้ยังไง
เริ่มจากการซื้อเทปคาสเซ็ท สมัยนั้นยังเป็นเทปคาสเซ็ท (หัวเราะ) ที่ร้านโดเรมี ในสมัยนั้นน่าจะรู้จักกัน ซื้อมาฟังเยอะมาก พอทำการบ้านเสร็จก็จะต้องฟัง ฟังจนหลับคาเพลงไปเลย โดยเริ่มแรกก็ฟังเพลงป็อปตลาดเหมือนเด็กๆทั่วไป จนมีพวกเพื่อนๆแนะนำเพลงให้รู้จักพวกแนว Heavy Metal พวกศิลปินผมยาวทั้งหลาย จนเกิดความคิดที่ว่าเราอยากเป็นอย่างพวกเค้าบ้าง แล้วก็เคยไปเที่ยว Rock Pub สมัยนั้นยังไม่ตรวจอายุ ( หัวเราะ) ได้เห็นศิลปินอย่าง พี่เอก Blackhead สมัยนั้นชื่อวง Snow White เล่นกีต้าร์อยู่ ซึ่งเป็นภาพที่ประทับใจมากที่ไม่เคยเห็นใครเล่นกีต้าร์เก่งและได้เห็นระยะประชิดตัวขนาดนี้มาก่อน กลับไปบ้านถึงขั้นจินตนาการว่าเราอยากเป็นอย่างพี่เค้า แต่เราก็ได้แต่คิดว่าจะทำได้หรอ และนี่ก็เป็นจุดเริ่มต้นและแรงบันดาลใจของเราจุดนึง
ตอนสมัยวัยรุ่นที่พี่ได้ไปใช้ชีวิตต่างแดน การเสพสื่อของสังคมวัยรุ่นในเมือนอกกับวัยรุ่นไทยมีความแตกต่างกันอย่างไรบ้าง
เด็กต่างประเทศเค้าจะมีความเป็นตัวของตัวเองมากกว่า เพราะเราเป็นประเทศที่มีเพื่อนเยอะ การเป็นตัวของตัวเองแสดงว่ามีเพื่อนน้อย ฝรั่งนี่เพื่อนน้อย แต่คนไทยนี่เพื่อนฝูงเพียบ ข้อเสียของการมีเพื่อนเยอะคือ การที่เราสูญเสียความเป็นตัวเองไปเพราะเราต้องคอยแคร์ความรู้สึกของคนรอบข้างเต็มไปหมด ต้องฟังเพลงอะไรดี ดูหนังอะไรดี ต้องมีคนแนะนำ อันไหนฮิตถึงจะฟัง แต่เมืองนอกเค้าไม่ต้องแคร์ตรงนี้ เค้าถึงไปในแนวทางของเค้าเองอย่างชัดเจน
ถ้าเปรียบเทียบยุคนั้นกับยุคนี้มีความแตกต่างกันบ้างมั๊ย
ถ้าในสมัยนั้นอินเทอร์เนทช้ามากจะหาข้อมูลแต่ละที่ก็ยาก แต่ปัจจุบันเทคโนโลยีไวมาก และเด็กไทยก็เก่งขึ้นมากเพราะมีทั้งวีดีโอสอนในยูทูปและเว็บต่างๆมากมาย ในสมัยก่อนเวลาฝึกหรือหาข้อมูลอะไรแต่ละทีอาจจะเริ่มจากให้รุ่นพี่คอยแนะนำ คอยบอก มากสุดก็ไปเรียนเสริมเอา แต่ปัจจุบันแค่เปิดคอมขึ้นมาก็สามารถเรียนได้โดยมีคนคอยสอนหน้าคอม
อยากให้พี่พูดถึงเด็กยุคนี้ในแง่ของการทำดนตรี
สำหรับเด็กในยุคนี้ค่อนข้างน่าอิจฉากว่ายุคก่อนๆในแง่ของการทำเพลงคือเค้ามีโอกาสเยอะกว่าสมัยก่อนไม่ว่าจะเป็นช่องทางในการเผยแพร่ผลงาน หรือการศึกษาหาความรู้ ก็อยากจะฝากคนรุ่นใหม่ถ้าตั้งใจทำงานก็มีโอกาสกว่าคนรุ่นเก่าเยอะแล้ว ขออย่างเดียวให้ตั้งใจทำมันอย่าเลิกกลางคัน สิ่งที่ผมเห็นคนรุ่นใหม่คือความไม่มีความอดทนอดกลั้น ทำไปสองสามปีก็เลิกแล้ว ซึ่งจริงๆการที่จะประสบผลสำเร็จในเส้นทางดนตรีมันต้องใช้เวลาเป็นสิบปี เพราะเส้นทางมันไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ ขอให้มีความอดทนและต้องกล้า กล้าที่จะล้มเหลว ต้องไม่กลัวความล้มเหลวต้องทำในสิ่งที่ตัวเองเชื่อ ยังไม่มีใครยอมรับไม่เป็นไรต้องกล้าที่จะทำต่อไป
จากการที่พี่ได้ไปใช้ชีวิตในต่างประเทศเราได้ซึมซับวัฒนธรรมต่างประเทศแล้วมาปรับใช้กับชีวิตเรายังไง
การไปอยู่ต่างประเทศมันได้หล่อหลอมจิตใจเราโดยไม่รู้ตัว สิ่งที่สังเกตได้ชัดเจนอย่างเช่นวัฒนธรรมอเมริกันจะปลูกฝังให้ทุกคนช่วยเหลือตัวเอง เด็กทุกคนต้องทำงานพาร์ทไทม์ ต้องขยันไม่มีใครจะแบมือขอเงินพ่อแม่ ในเมื่อเราต้องการอยากได้อะไรเราก็ต้องยอมลำบาก เอาหยาดเหงื่อไปแลก ตรงนั้นเป็นสิ่งที่ผมได้รับตรงนี้มาเยอะ ตอนที่ผมอยู่ที่นั้นผมก็ต้องเรียนไปทำงานไปด้วย อย่างการทำงานในร้านอาหารทำให้เราเจอลูกค้ามากมายหลายแบบทำให้เป็นการฝึกความอดทน การควบคุมอารมณ์ไปในตัว ซึ่งสิ่งเหล่านี้ทุกคนที่อยู่ต่างประเทศจะชินเพราะทุกคนต้องทำงานบริการ รองรับอารมณ์ของคนอื่นๆได้
อะไรเป็นแรงบันดาลใจในการใช้ชีวิตของพี่
แรงบันดาลใจในการใช้ชีวิตของผมคือการเล่นดนตรี ช่วงนี้ก็คือพออายุมากขึ้นก็ได้ทำในสิ่งที่ตัวเองอยากทำในหลายๆอย่าง ก็อยากทำตรงนี้ต่อไปเรื่อยๆจนแก่และรักษามาตรฐาน รักษาสุขภาพเพื่อเวลาที่เราแสดงดนตรีมันสามารถแสดงได้เต็มร้อยเหมือนเดิม เป้าหมายในอนาคตของผมต่อจากนนี้ก็คือทำตรงนี้ต่อไปเรื่อยๆ ทำไปจนแก่ (ยิ้ม) เพราะมันเป็นสิ่งที่ผมทำแล้วมีความสุข อายุหกสิบก็อยากจะเล่นดนตรีร็อคอย่างนี้ได้อยู่ อย่างเช่นวง Red Hot Chilli Peppers เค้าอายุ 50 กันแล้วแต่ทุกครั้งที่เค้าเล่นเค้ายังซิ่ง ยังมันกันอยู่เลย ยังกระโดดโลดเต้นยังแข็งแรงอยู่มาก ผมไม่อยากที่จะพอแก่แล้วเป็นเหมือนวงดนตรีหมดสภาพที่มายืนร้องเพลงเฉยๆ เราต้องเต้นได้ถ้าถึงตอนนั้น
ในสมัยก่อนนักดนตรีออกผลงานเป็นอัลบั้มแต่ปัจจุบันออกเป็นซิงเกิล มันสะท้อนอะไรบ้างในความเห็นของพี่
มันก็สะท้อนว่าคนสมัยนี้สมาธิสั้นลง คนยุคใหม่ก็ไม่ฟังอะไรเป็นอัลบั้มแล้ว จะสังเกตดูว่าเพลงสมัยนี้เนื้อเพลงและความยาวของเพลงก็สั้นลง แต่ผมยังคงยึดความเป็นหัวโบราณอยู่นะยังคงออกผลงานเป็นอัลบั้มอยู่ เป็นเพราะระบบทุนนิยมด้วยหรือเปล่า ? ก็เป็นไปได้นะเพราะปัจจุบันมีเทคโนโลยี มีอินเทอร์เน็ท วัยรุ่นสมัยใหม่ไม่เคยจะรออะไร จะเสพอะไรสั้นๆ ถามว่าวัยรุ่นสมัยใหม่อ่านนิยายร้อยกว่าหน้าจบไหม เค้าก็ไม่อยากจะอ่าน เค้าจะอ่านแค่สเตตัสในเฟสบุ๊คและดูรูปจากอินสตาแกรมมันเร็วดี มันน่าจะเป็นเพราะยุคสมัยแหละ แต่ถ้าคนรุ่นใหม่รู้จักใช้เวลามีสมาธิ รู้จักไตร่ตรอง ลองฟังอัลบั้มเต็มของศิลปินนั้นๆดู 50-60 นาทีมันได้ประโยชน์มาก พี่คิดว่ามันมีผลกระทบมั๊ยที่ปัจจุบันนี้ศิลปินออกผลงานแค่เพลงสองเพลง ? ก็มีผลนะคือนักดนตรีไม่สามารถเล่าเรื่องได้จบ เราจะไม่รู้คาแรคเตอร์จริงๆของคนคนเดียวผ่านหนึ่งเพลง แต่เราจะรู้คาแรคเตอร์ของวงวงหนึ่งผ่านสิบเพลง
อยากจะฝากอะไรถึงคนฟังเพลงบ้าง
ฝากถึงคนฟังเพลงครับ ถ้าคุณชื่นชอบศิลปินคนไหน วงการดนตรีกับผู้ฟังมันต้องเดินไปด้วยกัน วงการดนตรีจะพัฒนาได้ผู้ฟังก็ต้องพัฒนาด้วย ต้องเปิดใจกว้าง ลองฟังเพลงหลากหลายเพราะศิลปินที่เค้าทำงานหลายๆแบบเค้าจะได้มีกำลังใจ ที่สำคัญต้องอุดหนุนผลงานลิขสิทธิ์ ถ้ามีคอนเสิร์ตก็อุดหนุนคอนเสิร์ต เพราะกิจกรรมเหล่านี้มันจะทำให้คนสร้างผลงานมีกำลังใจ ถ้าเราไม่สนับสนุนเค้าตอนนี้เค้าหมดกำลังใจแล้วเค้าเลิกทำไปก่อน เราจะมาถามว่าทำไมวงนี้ไม่ทำผลงานต่อตอนนั้นมันอาจจะสายไปแล้ว ดังนั้นในเมื่อมีโอกาสสนับสนุนเค้าให้กำลังใจเค้าเราก็ควรจะทำ
อยากให้พูดถึงงานคอนเสิร์ตสุขสิบสามครั้งนี้ที่กำลังจะจัดขึ้น
งานคอนเสิร์ตสุขสิบสามครั้งนี้ก็จะจัดขึ้นเหมือนเป็นการรวมญาติ รวมแฟนๆทุกยุคทุกสมัยได้มาเจอกัน มาร่วมร้องเพลงเก่าๆ โดยขนเอาเพลงทุกอัลบั้ม ที่ทำมาไว้ที่งานนนี้ เหมือนเป็นการสรุปการเดินทางของวงว่าสิบสามปีที่แล้วเราเจออะไรมาบ้างและจะมีอะไรบ้างที่เราต้องเดินต่อไปข้างหน้า ตอนนี้อพาร์ทเม้นมันท์คุณป้ามีหลายยุคบางคนก็เพิ่งจะมารู้จักอพาร์ทเม้นท์คุณป้าจากสถานีต่อไปหรือเปลือกอย่างเด็กวัยรุ่นยุคนี้ แต่แฟนเพลงเก่าๆของเราที่รู้จักกับเรามาตั้งแต่แรกก็อยากจะให้เค้ากลับมาเพื่อมารองเพลงเก่าๆด้วยกัน โดยงานจะจัดขึ้นที่ Centerpoint Studio ซอยลาซาล วันที่ 4 ตุลาคม 2557 นี้