The Evolution of Nike Air Max pt.1
เมื่อพูดถึงรองเท้าที่เปรียบเสมือนเป็นตัวแทนของหนึ่งในแบรนด์รองเท้าผ้าใบใหญ่ที่สุดตอนนี้อย่าง Nike นั้น ชื่อแรกๆที่ผู้คนจะนึกถึงก็คงไม่พ้นรองเท้า Nike Air Max ที่จนถึงปัจจุบันนั้นมีการแตกไลน์ออกไปอย่างหลากหลายทั้งในแง่ของ เทคโนโลยีเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ การดีไซน์ หรือรวมไปถึงวัสดุที่นำมาใช้เพื่อตอบสนองกับกระแสแฟชั่นในปัจจุบันที่มีความหลากหลาย และไม่ได้ยึดติดว่ารองเท้ากีฬานั้นจำเป็นจะต้องสวมใส่ขณะออกกำลังกายอีกต่อไป ทำให้ผู้คนทั่วโลกไม่ว่าจะมีสไตล์การแต่งตัว หรือสไตล์การใช้ชีวิตแบบไหนก็สามารถมีรองเท้า Nike Air Max เป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวันได้
รองเท้า Air Max คู่แรกที่ทาง Nike ได้ผลิตออกมานั้นเป็นที่รู้จักกันในปัจจุบันด้วยชื่อ Nike Air Max I ได้มีการวางจำหน่ายครั้งแรกในปี 1987 หรือเกือบ 30 ปีมาแล้ว โดยรองเท้าคู่นี้นั้นออกแบบโดย Tinker Hatfield ดีไซเนอร์รองเท้าผู้ซึ่งปัจจุบันเป็นหัวหน้าทีมออกแบบรองเท้าคนสำคัญของ Nike ผลงานที่สำคัญๆนอกเหนือไปจาก Nike Air Max แล้วก็ยังมีรองเท้าในไลน์ Nike Air Jordan อีกมากมายหลายรุ่นเช่นกัน สำหรับ Tinker Hatfield นั้นจริงๆแล้วเค้าเข้ามาร่วมงานกับทาง Nike หลังจากเพิ่งสำเร็จการศึกษาด้านสถาปัตยกรรมก่อนหน้านั้นไม่นานเลย ซึ่งถือเป็นเรื่องน่าแปลกเพราะสายงานด้านสถาปัตยกรรมช่างดูห่างไกลกับงานออกแบบรองเท้ามากเหลือเกิน เชื่อว่าย้อนกลับไปเวลานั้นทาง Nike ก็ไม่อาจคาดคิดได้ว่าในวันนึงข้างหน้า Tinker Hatfield นั้นจะกลายเป็นหนึ่งในองค์ประกอบสำคัญที่ผลักดัน Nike ให้กลายเป็นหนึ่งในแบรนด์รองเท้าที่มีชื่อเสียงมากที่สุดในโลก เนื่องจาก Tinker Hatfield ได้ทำการออกแบบรองเท้าของ Nike รุ่นสำคัญหลายๆรุ่นที่เปรียบเสมือน Icon ของแต่ละยุคสมัยเลยทีเดียว
Tinker Hatfield
จุดเด่นของรองเท้า Nike Air Max นั้นคงหนีไม่พ้นพื้นของรองเท้าที่ใช้เทคโนโลยี Air Sole Unit ซึ่งถูกคิดค้นขึ้นมาในปี 1979 โดยเริ่มต้นจากการที่ Frank Rudy ผู้ซึ่งเป็นวิศวกรด้านอากาศยานนำไอเดียนี้เข้าไปพูดคุยกับ Phil Knight ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ก่อตั้งร่วมของทาง Nike และเขาได้ร่วมทำการออกแบบจนได้เป็น Air Sole Unit ขึ้นมา
Frank Rudy
แรกเริ่มนั้นถูกออกแบบให้เป็นเหมือนแผ่นที่จะใส่เสริมเข้าไปที่พื้นรองเท้า แต่ในภายหลังทาง Nike ได้ตัดสินใจใส่มันไว้ในส่วนของ mid sole แทน จุดเริ่มต้นของเทคโนโลยี Air Sole Unit นั้นมีที่มาจากการที่ทาง Nike อยากจะทำการปฏิวัติวงการรองเท้าวิ่งใหม่ด้วยเทคโนโลยีการรับแรงกระแทกที่ยังไม่เคยมีใครใช้มาก่อน จึงได้ทำการพัฒนา Air Sole Unit ขึ้นมาเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของรองเท้าในการรับแรงกระแทกที่เกิดขึ้นกับเท้าขณะวิ่ง
Nike Air Sole Unit
Air Sole Unit นั้นมีหน้าตาเหมือนแผ่นฟองน้ำที่มีอากาศอัดอยู่ภายใน ที่จะมีการยุบตัวเมื่อถูกแรงกด(ดูดซับแรงกระแทก และลดแรงต้านที่จะกระทำกลับไปที่ฝ่าเท้า) จากนั้นคืนรูปทันทีเพื่อเตรียมรับแรงกระแทกครั้งต่อไป โดยเป็นการพัฒนาต่อมาจากโครงสร้างพื้นรองเท้า Nike Air Tailwind ที่ออกมาตั้งแต่ปี 1978
Nike Air Tailwind
จากนั้นเมื่อถึงปี 1987 ซึ่งเป็นปีที่รองเท้า Nike Air Max ถือกำเนิดขึ้นเป็นครั้งแรกนั้น มาพร้อมกับแคมเปญ “Revolution” ของ Nike เนื่องจากรองเท้า Nike Air Max นั้นเป็นเหมือนการปฏิวัติ วงการรองเท้าวิ่งกันใหม่ โดยมีการออกแบบโครงสร้างของรองเท้าใหม่ทั้งหมด เพื่อเน้นให้รองเท้าช่วยรับแรงกระทำที่เกิดขึ้นบริเวณฝ่าเท้า และข้อเท้าเพิ่มมากขึ้นจากรองเท้าวิ่งในสมัยก่อน โดย Nike Air Max นั้นถือเป็นรองเท้าของ Nike คู่แรกที่ตัวรองเท้ามีช่องใสเผยให้เห็นเทคโนโลยี Air Sole Unit ซึ่งที่มานั้นก็อย่างที่กล่าวไปแล้วว่า Tinker Hatfield นั้นสำเร็จการศึกษาด้านสถาปัตยกรรมมาก่อน ขณะที่เค้ากำลังออกแบบรองเท้าคู่นี้นั้น จึงได้มีการผสมผสานความรู้ด้านสถาปัตยกรรมเข้าไปด้วย โดยใช้ลักษณะโครงสร้างอาคารที่ชื่อว่า Centre Pompidou ในเมืองปารีส เป็นแรงบันดาลใจ
Centre Pompidou ,Paris
ความพิเศษของอาคารหลังนี้คือ มีการใช้กระจกแทนผนังในส่วนใหญ่ทำให้มองเห็นโครงสร้างภายในเกือบทั้งหมด ดังนั้นพื้นของรองเท้า Air Max จึงออกแบบให้มีส่วนที่เป็นพลาสติกใสสามารถมองทะลุเข้าไปเห็น Air Technology ด้านในได้ ซึ่งคุณลักษณะพิเศษนี้ได้ถูกยึดถือไว้เป็นเหมือนสัญลักษณ์ของ Nike Air Max รุ่นต่อๆมาจนถึงปัจจุบัน
ช่องใสที่พื้นรองเท้า สามารถมองเห็น Air Technology ด้านใน
ย้อนกลับไปในปี 1987 ตอนนั้น วิธีการทำการตลาดของ Nike ต่อรองเท้าคู่นี้นั้นถือว่ามีความน่าสนใจมากในหลายๆแง่มุม โดยตอนเริ่มต้นนั้นทาง Nike ได้วางงบประมาณไว้สูงถึง $7,000,000 สำหรับการโฆษณาแค่เพียงในช่วงเดือน มีนาคมจนถึงกลางเดือนพฤษภาคมเท่านั้นเอง ซึ่งหลักๆแล้วจะเป็นค่าใช้จ่ายในส่วนของโฆษณาทางโทรทัศน์ที่ทำออกมาในเชิงสารคดี ที่มีนักกีฬาชื่อดังมากมายเช่น Michael Jordan และ John McEnroe นักเทนนิสชื่อดังในยุคนั้นรวมอยู่ด้วย ส่วนสิ่งที่ทำให้โฆษณาชิ้นนี้นั้นได้รับความสนใจมากขึ้นไปอีกก็เนื่องจากมีการใช้เพลง Revolution ของหนึ่งในวงดนตรีที่มีชื่อเสียงมากที่สุดอย่าง The Beatles และนี่ถือเป็นครั้งแรกด้วยที่มีการใช้เพลงของ The Beatles เพื่อประกอบโฆษณาโทรทัศน์อย่างถูกต้องตามลิขสิทธิ์
The Beatles
ทาง Nike ได้ปล่อยโฆษณาตัวนี้ออกอากาศทั้งทางช่องโทรทัศน์ปรกติ และทางเคเบิลซึ่ง Nike มีส่วนร่วมอยู่แล้วในการถ่ายทอด Basketball ทาง ESPN จุดมุ่งหมายเพื่อให้โฆษณาตัวนี้เข้าถึงกลุ่มคนได้มากขึ้นกว่าเดิม ไม่ว่าจะเป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย นอกเหนือไปจากการออกอากาศทางโทรทัศน์แล้ว Nike ก็ยังลงโฆษณาในนิตยสารชื่อดังอีกหลากหลายเล่ม โดยไม่ได้จำกัดเฉพาะนิตยสารด้านการออกกำลังกายเช่น Runner's World , Sports Illustrated เพียงอย่างเดียว แต่ยังรวมไปถึงนิตยสารด้านดนตรี และแฟชั่น อย่าง People, Rolling Stone รวมไปถึง Esquire อีกด้วย สำหรับประโยคที่เลือกมาใช้ในการลงโฆษณาเพื่อให้คนจดจำได้นั้นก็คือ ''Nike-Air is not a shoe. It's a revolution.''
โฆษณาที่ทาง Nike ลงในนิตยสารในช่วงเวลานั้น
จากการลงสื่อทุกรูปแบบตามที่ได้กล่าวมานั้น ส่งผลให้เกิดกระแสการพูดกันปากต่อปากออกไปในวงกว้าง จนวันวางจำหน่ายครั้งแรกที่ร้านตัวแทนจำหน่ายชื่อดังอย่าง Super Runners ใน New York สามารถขายรองเท้ารุ่นนี้ไปได้ถึง 250 คู่ภายในเวลา 3 วัน จากยอดรองเท้าที่ส่งเข้าร้าน 800 คู่ เลยทีเดียว
หนึ่งในส่วนสำคัญที่อยู่เบื้องหลังความสำเร็จของแคมเปญนี้ก็คงจะเป็น Wieden+Kennedy บริษัทโฆษณาชื่อดังที่ได้ร่วมทำแคมเปญดังๆกับทาง Nike มากมาย เช่น Just do it , Bo Knows หรือแม้แต่แคมเปญดังๆอีกหลายชิ้นของ Air Jordan อย่าง "Mars Blackmon" และ "I am not a role model" โดย Wieden+Kennedy ก็ยังคงทำโฆษณาให้ทาง Nike มาจนถึงปัจจุบันนี้
ทั้งหมดนี้ก็คือต้นกำเนิดของรองเท้า Nike Air Max ที่เมื่อรวมตัวรองเท้าที่ออกแบบมาได้อย่างดีและมีประสิทธิภาพ เข้ากับการวางแผนการตลาดอย่างยอดเยี่ยมแล้ว จึงส่งผลให้รองเท้าคู่นี้ประสบความสำเร็จอย่างดีเยี่ยมอย่างที่ทาง Nike ตั้งใจไว้ เดี๋ยวตอนต่อไปเราจะมาดูวิวัฒนาการของรองเท้าในซีรี่ย์นี้กันว่าด้วยระยะเวลากว่า 25 ปี มานี้ ได้มีการเปลี่ยนแปลงไปอย่างไรกันบ้าง
Credit : www.sweetsoles.tumblr.com ,www.Sneakernews.com , www.coolhunting.com ,www.kicksonfire.com