1978 คือปีที่ทาง Nike ได้เปิดตัวเทคโนโลยี “Air” เป็นครั้งแรกพร้อมกับรองเท้ารุ่น Nike Tailwind และ 9 ปีต่อมา Nike ก็เผยโฉมเทคโนโลยีระดับโลกให้เห็นกันจะๆ ผ่านรุ่น Nike Air Max 1 และการพัฒนานั้นก็มีมาอย่างต่อเนื่อง จนมาถึงรุ่นที่ทางแบรนด์ Swoosh ภูมิใจนำเสนอว่าเป็นหนึ่งในเทคโนโลยีที่ล้ำที่สุด โดยรุ่นที่ว่านั่นก็คือ
“Nike VaporMax”
“Nike Air VaporMax นั้นเป็นส่วนผสมที่ยอดเยี่ยมระหว่าง “สมรรถภาพ” และ “สไตล์”
เพิ่มศักยภาพให้กับผู้สวมใส่ ด้วยความงามที่ใหม่, เรียบง่าย และทันสมัย”
Brett Holts – รองประธานฝ่ายรองเท้าวิ่งแห่ง Nike
วิธีการหลอม Sole หรือพื้นรองเท้าของ VaporMax นั้นประกอบไปด้วยส่วนประกอบมากถึง 39,000 ชิ้น ซึ่งมีความซับซ้อนยิ่งกว่าเครื่องยนต์รถพลังแรงสูงซะอีก วัสดุที่ถูกหลอมรวมกับถุงลงนิรภัย รวมถึงขั้นตอนถึง 15 ขั้นตอนนั้น ทำให้พื้นรองเท้าแต่ละคู่ ถูกสร้างและประกอบขึ้นโดยมีความสมบูรณ์แบบเป็นที่ตั้ง
ผลลัพธ์ที่ได้ก็คือ Sneaker ที่มีความยืดหยุ่นสูง และตอบสนองต่อผู้ใส่ได้อย่างเหลือเชื่อ ซึ่งเป็นผลมาจากเทคโนโลยี Flywire ในเชือกรองเท้า กับการถักทอแบบพิเศษ ด้วยเทคโนโลยี Flyknit ทำให้ VaporMax สามารถประสานเข้ากับการทำงานของร่างกายได้อย่างดีเยี่ยม
Andreas Harlow ผู้ซึ่งเป็นรองประธาน และ Creative Director ประจำฝ่ายรองเท้าของ Nike ได้พูดถึงวิสัยทัศน์ในการออกแบบ VaporMax ไว้ว่า
“ในมุมมองของดีไซน์นั้น พวกเรามีเป้าหมายที่จะสร้างสรรค์ดีไซน์ที่มีองค์ประกอบของความเรียบง่าย และความหรูหรารวมอยู่ด้วยกัน และจุดประสงค์ของรองเท้าก็คือ การขจัดปัจจัยที่ส่งผลเสียต่อสัมผัสของผู้สวมใส่ และเพิ่มความรู้สึกที่ได้จากการวิ่งด้วยพื้น Air”
“โดยทีโมเดลรุ่นก่อนๆอย่าง Air Max นั้น Air อาจจะมีหน้าที่เหมือนเป็นแค่เสื่อที่รองอยู่ใต้รองเท้า แต่ว่า VaporMax มีความต่างตรงที่เราอยากให้มันทำหน้าที่เหมือนเครื่องยนต์ Air ที่อยู่ตรงจุดต่างๆของรองเท้า จะทำงานเหมือนลูกสูบเพื่อสนับสนุน และความยืดหยุ่นในจุดที่นักวิ่งต้องการ”
“ถ้าคุณดูรองเท้าดีๆ คุณจะเห็นจุดบางจุดที่ถูกถักไว้อย่างแน่นหนา และจุดอื่นๆที่เปิดกว้าง และมีความยืดหยุ่นมากกว่า ซึ่งนั่นแหละคือจุดที่เป็นผลลัพธ์จากการทดลอง และวิจัยเกี่ยวกับถุงลม (Air bag) อย่างต่อเนื่อง”
มาดูภาพโรงงานกันบ้างดีกว่า
ตลอด 35 ปีนับตั้งแต่จุดแรกเริ่ม เทคโนโลยี Air ได้ถูกสร้างสรรค์และพัฒนาอย่างต่อเนื่องอยู่เบื้องหลังกำแพงของ “AIR M.I.” หรือ Air Manufacturing Innovation ใน Oregon และ Missouri ซึ่งเป็นศูนย์วิจัย และศูนย์ผลิตของทาง Nike ที่ได้ผลิตพื้น Air Sole มาแล้วมากกว่า 3,500,000,000 คู่!
Sole แต่ละอันนั้นถูกผลิตขึ้นมาโดยเครื่องจักรเฉพาะ และถูกตรวจสอบอย่างเข้มงวดเพื่อให้ได้มาตรฐาน โดยระบบทดสอบนั้น ต้องให้ Sole แต่ละอันผ่านการวิ่งถึง 400 ไมล์ เพื่อทดสอบคุณภาพ และหาศักยภาพที่สูงที่สุด
นอกจากความสุดยอดทางเทคโนโลยี Nike ก็ไม่ลืมเรื่องความคุ้มค่าและความใส่ใจต่อสิ่งแวดล้อม โดยวัสดุของ Air bag ที่คุณภาพยังไม่ดีพอนั้นจะถูกนำมาหลอม และสร้างขึ้นใหม่ ส่งผลให้ของเสียถึง 90 เปอร์เซ็นต์ภายในโรงงาน ถูกนำมารีไซเคิล และนำไปใช้ประโยชน์ได้ต่ออีก
AIR M.I นั้นถูกขับเคลื่อนด้วยหัวกะทิผู้เชี่ยวชาญทั้งในด้านนวัตกรรม และวิศวกรรมกว่า 140 ชีวิต พร้อมด้วยทีมงานระดับคุณภาพนับพันที่คอยดู และควบคุมการผลิตเพื่อให้ได้ผลงานที่สมบูรณ์แบบภายใต้พื้นท่ 400,000 ตารางฟุต
และถึงแม้จะประสบความสำเร็จอย่างยอดเยี่ยมแล้ว Nike ก็ไม่หยุดยั้งที่จะพัฒนาตัวเองให้ก้าวหน้าขึ้นไปอีก โดยประกาศว่าจะเสริมพื้นที่จาก 400,000 ตารางฟุต เป็น 550,000 ตารางฟุตในปี 2018 แสดงให้เห็นถึงความมั่นใจ และความเชื่อมั่นในผลิตภัณฑ์ ซึ่งนอกจากเรื่องดีไซน์ที่มีเอกลักษณ์แล้ว Nike ก็มุ่งมั่นที่จะสร้างรองเท้าที่ดีทั้งในเรื่อง “Fashion” และ “Function” ให้สมกับเป็นแบรนด์ซที่เป็นอันดับหนึ่งในใจใครหลายๆคน รวมถึงทำหน้าที่หล่อเลี้ยงวงการกีฬา และวงการ Sneakers มาอย่างยาวนานภายใต้โลโก้ Swoosh !
reference and photos belong to: Highsnobiety