นาทีนี้คงไม่มีใครไม่รู้จัก Pharrell Williams ที่เรียกได้ว่าเป็นอีกหนึ่งใน ดีไซน์เนอร์ที่ดีสุดเเห่งยุคนี้เลยก็ว่าได้ เพราะตั้งเเต่เขาเข้ามารับไม้ต่อจาก Virgil Abloh ที่จากไป ในตำเเหน่ง Creative Director ฝั่ง Men ของบ้าน Louis Vuitton เขาก็สร้างเซอร์ไพรส์เเละ สร้างเสียงฮือฮาได้ไม่น้อย วันนี้เลยอยากจะพาเพื่อนๆ ไปทำความรู้จักกับชายคนนี้กันอีกสัก เล็กน้อย เเละไปย้อนดูเส้นทางสายเเฟชั่นของเขากันว่ากว่าจะมาจุดนี้ได้เจ้าตัวได้ผ่านอะไรมาบ้าง
เชื่อว่าหลายๆ คนคงรู้จัก Pharrell Williams จากเพลง Happy ที่เป็นเพลงประกอบอนิเมชันชื่อดัง อย่าง Despicable Me หรือ Minion นั่นเอง ก่อนที่ Pharrell จะเข้ามานั่งเก้าอี้ Creative Director ให้กับ LV เขาเป็นที่รู้จักในฐานะศิลปินฮอปเเละโปรดิวเซอร์ โดย Pharrell สนใจดนตรีตั้งแต่วัยเด็ก เเละเขาได้พบกับเพื่อนที่โรงเรียนอย่าง Chad Hugo ผู้ซึ่งต่อมาได้กลายมาเป็นคู่หูในการก่อตั้ง วงดนตรีเป็นของตัวเองภายใต้ชื่อ The Neptunes
The Neptunes เป็นวงดนตรีสไตล์ฮิปฮอปเเละ R&B ในช่วงต้นยุค 90 Pharrell ได้แต่งบางท่อน ในเพลง Rump Shaker ให้กับวงฮิปฮอป Wreckx-n-Effect ซึ่งกลายมาเป็นซิงเกิ้ลฮิตติดชาร์ตใน เวลาต่อมา รวมถึงแต่งเพลงให้กับวงตัวเองอย่างเพลง Tonight’s the Night เเต่เส้นทางสายดนตรี ของ Pharrell เเละ Hugo ยังไม่หยุดเท่านี้ ทั้งคู่ยังเดินหน้าทำเพลงต่อไป จนกระทั่งในปี 1999 Pharrell เเละ Hugo ได้ก่อตั้งวงใหม่ภายใต้ชื่อ N.E.R.D พร้อมกับได้มือกลองฝีมือขั้นเทพอย่าง Shay Haley มาร่วมเเจมด้วย
สำหรับวง N.E.R.D ถือว่าประสบความสำเร็จอย่างมาก ด้วยผลงานเพลงทั้งหมด 5 อัลบั้ม พร้อม กับสร้างชื่อเสียงให้กับทั้ง 3 คนเป็นอย่างมาก นอกจากนี้ Pharrell ยังถูกขนานนามว่าเป็น โปรดิวเซอร์มือทองที่ประสบความสำเร็จเเละสร้างอิทธิพลให้กับโลกดนตรีมากที่สุดในยุคนั้น นี่เราพูดถึงเพียงเเค่ความสามารถด้านดนตรีเท่านั้น ยังไม่เเตะเรื่องเเฟชั่นเลย ต้องบอกเลยว่านี่มัน พรสวรรค์ชัดๆ
สำหรับเส้นทางสายเเฟชันของพ่อหนุ่มคนนี้ Pharrell ถูกยกให้เป็นหนึ่งในไอคอนด้านเเฟชั่นให้ กับศิลปินฮิปฮอปในช่วงต้นยุค 2000 หรือยุค Y2K นั่นเอง ด้วยสไตล์การเเต่งตัวเเนวสตรีทที่โดด เด่นสุดๆ ในช่วงต่อมา Pharrell ได้มีโอกาสไปเยือนประเทศญี่ปุ่น เเละได้คลุกคลีกับวัฒธรรมสตรีทของที่นี่ เขาจึงนำแฟชั่นที่มีความสนุกสนานของวัยรุ่นที่นั่นกลับมาด้วย ไม่ว่าจะเป็นพวกลายกราฟิกสีสันสดใส หรือพวกลายพิมพ์กราฟิกทั่วตัว รวมไปถึงพวกลายพรางต่างๆ
ในปี 2005 Pharrell Williams ได้ก่อตั้งเเบรนด์ Billionaire Boys Club ร่วมกับ Nigo (ผู้ก่อตั้งแบรนด์ A Bathing Ape) เเละได้เเตกเเบรนด์ลูกอย่าง Ice Cream ออกมาด้วย สำหรับ BBC เป็นแบรนด์สตรีทแวร์ที่มีกลิ่น อายของความเป็น Hip-hop จากฝั่งอเมริกาผสมผสานลงไปด้วย และยังมาพร้อมกับสีสันที่หลาก หลาย มีความสดใสและโดนใจชาวสตรีทเเละชาว Rap เป็นอย่างมาก
ต่อมาในช่วงปี 2010 เส้นทางสายเเฟชั่นของ Pharrell ได้ก้าวไปอีกขั้น ด้วยการได้ร่วมงานกับ Karl Lagerfeld ดีไซเนอร์ระดับตำนานของ Chanel ในการปรับเปลี่ยนแฟชั่นให้เป็นสไตล์ที่ไร้ขอบเขต เรื่องเพศ โดย Pharrell ได้ร่วมแสดงหนังสั้นอย่าง Reincarnation ร่วมกันกับ Cara Delevingne ที่กำกับโดย Karl รวมถึงได้เป็นนายเเบบชายคนแรกที่ร่วมแสดงในโฆษณากระเป๋ารุ่น Gabrielle
ซึ่งกระเป๋าถือใบนี้เป็นกระเป๋าแฟชั่นของสุภาพสตรีมาเป็นเวลากว่า 100 ปี ดังนั้นการที่เขาได้มา เป็นเเบบสำหรับกระเป๋ารุ่นนี้ ถือว่าเป็นการพลิกโฉมวงการกันเลยก็ว่าได้ เท่านั้นยังไม่พอ! Pharrell ยังร่วมเดินบนรันเวย์ Chanel Métiers d’Art 2018/2019 รวมไปถึงการออกแบบคอลเลกชัน Unisex ของเขาเองในปี 2019 อีกด้วย
นอกจากนี้ Pharell ยังเคยออกคอลเเลปส์รองเท้ารวมกับ Adidas, น้ำหอมที่ทำร่วมกับ CDG หรือ มากไปกว่านั้นเขายังเคยร่วมงานกับ Louis Vuitton มาแล้วในคอลเลกชั่นแว่นตา Millionaire ในปี 2005 และคอลเลกชั่นเครื่องประดับ Blason ที่เปิดตัวในปี 2008 แม้แต่ Virgil Abloh ดีไซเนอร์ ผู้ล่วงลับที่เคยเป็นผู้กุมบังเหียนของ Louis Vuitton ได้นำเอาแว่นรุ่น Millionaire ของ Pharrell มาปรับดีไซน์ใหม่อีกครั้งในชื่อ 1.1 Millionaires สำหรับคอลเลกชัน Spring 2019
เรียกได้ว่าไปสุดทุกทางจริงๆ ไม่ว่าจะเป็นด้านตรีในฐานะศิลปินเเละโปรดิวเซอร์ หรือในด้านของ เเฟชั่นในฐานะนายเเบบเเละดีไซน์เนอร์รวมไปถึงสไตล์การเเต่งตัวที่จัดจ้านจนกลายเป็นหนึ่งใน ไอคอนของโลกของเเฟชั่น ซึ่งผลงานต่างๆ ที่ผ่านมาในตอนนั้นคงพิสูจน์ให้เห็นถึงมุมมองเเละฝีมือ ของเขาเเล้วจริงๆ
จนกระทั่งต้นปี 2023 ทาง Louis Vuitton สร้างเซอร์ไพร์สประกาศคว้าตัว Pharrell Williams ขึ้นนั่งตำเเหน่ง Creative Director คนใหม่ต่อจาก Virgil Abloh ผู้ล่วงลับ สำหรับผลงานต่างๆ ของเขาในสังกัดบ้าน LV ที่ผ่านมาก็คงพิสูจน์ให้เห็นถึงความสารถในด้านการออกเเเบบของเค้า อยู่พอสมควร โดยเฉพาะคอลเลคชัน Men Fall/Winter 2024 ที่เพิ่งจบไปไม่กี่วัน บอกเลยว่าสร้าง เซอร์ไพร์สเเละเรียกเสียงฮือฮาได้ไม่น้อยด้วยธีมที่มาในเเบบ Western Cowboy
ซึ่งดีไซน์การออกเเบบเเละดีเทลต่างๆ ถือว่าจัดมาให้เเบบเต็มๆ ไม่มีกั๊ก ทำให้ลืมภาพเก่าๆ ของ Luxury Brand ไปได้เลย สมกับที่ Pietro Beccari ประธานเเละซีอีโอของ LV ไว้ใจเเละเเต่งตั้งให้ Pharell มารับ หน้าที่ตรงนี้ ส่วนเราก็คงต้องรอดูเเละติตามกันต่อไปว่าผลงานชิ้นใหม่ของ Pharell จะออกมา เป็นอย่างไร เเละจะพา Louis Vuitton ไปทิศทางไหน ต้องรอติดตาม!